กำแพงเมืองจีน สิ่งมหัศจรรย์อีกแห่งของโลก
กำแพงเมืองจีนเป็นการท่องเที่ยวที่ว่าเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก กำแพงเมืองจีนนั้นตั้งอยู่ชานเมืองปักกิ่ง และกินบริเวณกว้างมาก วันนี้ต้องออกเดินทางให้เร็วกว่าที่กำหนดค่ะเพราะต้องใช้เวลาเดินทางออกไปประมาณ 2 - 3 ชั่วโมง วันนี้อากาศค่อนข้างดีอยู่ที่ประมาณ 22 - 23 องศา แต่สำหรับดิฉันก็ต้องใส่เสื้อกันหนาวแบบบางๆๆค่ะเพราะอากาศค่อนข้างเย็นๆๆๆไม่ถึงกับหนาวค่ะ กำแพงเมืองจีนนี้เปรียบเสมือนประวัติศาสตร์ที่จารึกถึงการเสียเลือดเนื้อและน้ำตาประชาชนในอดีตสมัยโบราณ
พระมหากษัตรย์ที่ทำการก่อสร้างกำแพงเพื่อป้องกันการบุกรุกของศัตรู การก่อสร้างนั้นต้องเกณฑ์ไพร่พลเป็นจำนวนมากมีระยะทางข้ามเขาหลายลูกล้อมพระราชวัง จนบางคนก็เรียกว่า กำแพงหมื่นลี้ เมื่อดิฉันได้ไปถึงก็ได้เห็นความยิ่งใหญ่สมกับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกจริงๆๆๆๆด่านที่ดิฉันจะไปพิชิตก็ว่าได้ค่ะ มีทั้งหมด 7 ด่าน แต่ไม่รู้ว่าดิฉันจะพิชิตได้กี่ด่าน เราไปด่านแรกกันดีกว่าค่ะ ดิฉันเดินขึ้นสู่ด่านแรกจะเป็นทางลาดชันเหมือนกับว่าเราเดินขึ้นเขาธรรมดานะ การเดินก็เหมือนว่าเราเดินต้านแรงโน้มถ่วงของโลกเลยอ่ะ ตรงกลางทางขึ้นเขาก็จะมีแผ่นหินจารึกของท่านประธานเหมา เขียนเป็นอักษรจีน ทำนองว่าเราได้มาถึงกำแพงเมืองจีนแล้ว พวกเราก็จะไปแอ๊กท่าถ่ายรูกันตามระเบียบ หลังจากนั้นดิฉันก็เริ่มเดินมุ่งขึ้นกำแพงต่อ ดิฉันสังเกตุเห็นบริเวณกำแพงว่าจะมีโซ่ขึ้งเป็นระยะทางยาวซึ่งโซ่นั้นเต็มไปด้วยแม่กุญแจที่ล็อคไว้โดยปราศจากลูกกุญแจเป็นแนวยาวไปตลอดเลยอ่ะ ด้วยความสงสัยดิฉันเลยถามคนแถวนั้นว่าความหมายของการทำเช่นนั้นหมายอะไร ความหมายก็คือว่าเป็นการให้คำมั่นสัญญาต่อกันว่าจะเป็นคู่รักกันตลอดไปเป็นการให้คำมั่นสัญญากันระหว่างคนสองคนโดยต่างคนก็เก็บกุญแจไว้คนละดอกอะไรประมาณนี้ค่ะ หลังจากนั้นดิฉันก็ค่อยๆๆๆเดินขึ้นไปที่ละป้อม โดยถึงแต่ละป้อมดิฉันก็จะรูปไว้เป็นที่ระลึก แต่ขอบอกว่าที่ดิฉันแวะถ่ายรูปที่ป้อมนั้นเป็นการพักเหนื่อยค่ะ เดินไปเกือบชั่วโมงขึ้นไปได้แค่ 5 ป้อมเองค่ะ แต่ความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยนั้นแทบไม่เหลือเมือได้เห็นทิวทัศน์ ตรงข้างหน้าดิฉันมีแต่ขุนเขาซับซ้อนกันมองจนสุดลูกหูลูกตาเชี่ยวว่าได้ บรรยากาศก็เย็นสบายยากที่จะบอกเชี่ยว แต่ขอเตือนทุกคนที่จะมาเที่ยวกำแพงเมืองจีนค่ะว่าอย่าทานอาหารหรือน้ำจนอิ่มนะเพราะมันจะจุกจนคุณไม่สามารถที่จะเดินได้เลยให้ใช้การจิบน้ำเพื่อแก้กระหายเท่านั้นนะค่ะและอีกข้อค่ะคือ สัมภาระที่ติดตัวไปพยายามอย่าเอาไปเยอะค่ะเพรามันจะให้เราหนักและเดินลำบาก เอาไปเฉพาะจำเป็นค่ะ ดิฉันได้เก็บภาพความทรงจำในการปีนกำแพงในครั้งนี้ไว้เป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งเคยมาที่นี้แล้ว จากนั้นดิฉันก็เริ่มเดินทางลงสู่พื้นดินอีกครั้งแต่การลงนั้นแตกต่างจากการขึ้นมาเลยมันเร็วมาก จึงต้องหยุดคุยกันก่อนระกว่างลงและต้องระวังจะสะดุดได้เพราะบันไดแต่ละขั้นนั้นมันแคบและชันและการลงนั้นไม่เหนื่อยเหมือนตอนขึ้นก็มาจากแรงโน้มถ่วงของโลกเราอีกละ การเดินทางไปเที่ยวกำแพงเมืองจีนในครั้งจีนทำให้ดิฉันได้ข้อคิดบางอย่างขึ้นมาว่า การที่คนเราจะพยายามทำในสิ่งใดสิ่งหนึ่งแม้ว่ามันจะยากลำบากและมีอุปสรรคเพียงไหนก้เหมือนกับการสร้างกำแพงแต่ถ้าทุกคนมีความมุ่งมั่นความสำเร็จก็จะปรากฏให้เห็นไมาวาจะในรูปธรรมหรือนามอธรรม ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือเลวก็จะมีผู้รับรู้ได้ซึ่งสิ่งนั้นโดยไม่เสื่อมคลายดั่งกำแพงเมืองจีนที่ยืนยัดสู้แดดสู้ฝนสู้ธรรมชาติให้ลูกหลานได้เห็นในปัจจุบัน
พระมหากษัตรย์ที่ทำการก่อสร้างกำแพงเพื่อป้องกันการบุกรุกของศัตรู การก่อสร้างนั้นต้องเกณฑ์ไพร่พลเป็นจำนวนมากมีระยะทางข้ามเขาหลายลูกล้อมพระราชวัง จนบางคนก็เรียกว่า กำแพงหมื่นลี้ เมื่อดิฉันได้ไปถึงก็ได้เห็นความยิ่งใหญ่สมกับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกจริงๆๆๆๆด่านที่ดิฉันจะไปพิชิตก็ว่าได้ค่ะ มีทั้งหมด 7 ด่าน แต่ไม่รู้ว่าดิฉันจะพิชิตได้กี่ด่าน เราไปด่านแรกกันดีกว่าค่ะ ดิฉันเดินขึ้นสู่ด่านแรกจะเป็นทางลาดชันเหมือนกับว่าเราเดินขึ้นเขาธรรมดานะ การเดินก็เหมือนว่าเราเดินต้านแรงโน้มถ่วงของโลกเลยอ่ะ ตรงกลางทางขึ้นเขาก็จะมีแผ่นหินจารึกของท่านประธานเหมา เขียนเป็นอักษรจีน ทำนองว่าเราได้มาถึงกำแพงเมืองจีนแล้ว พวกเราก็จะไปแอ๊กท่าถ่ายรูกันตามระเบียบ หลังจากนั้นดิฉันก็เริ่มเดินมุ่งขึ้นกำแพงต่อ ดิฉันสังเกตุเห็นบริเวณกำแพงว่าจะมีโซ่ขึ้งเป็นระยะทางยาวซึ่งโซ่นั้นเต็มไปด้วยแม่กุญแจที่ล็อคไว้โดยปราศจากลูกกุญแจเป็นแนวยาวไปตลอดเลยอ่ะ ด้วยความสงสัยดิฉันเลยถามคนแถวนั้นว่าความหมายของการทำเช่นนั้นหมายอะไร ความหมายก็คือว่าเป็นการให้คำมั่นสัญญาต่อกันว่าจะเป็นคู่รักกันตลอดไปเป็นการให้คำมั่นสัญญากันระหว่างคนสองคนโดยต่างคนก็เก็บกุญแจไว้คนละดอกอะไรประมาณนี้ค่ะ หลังจากนั้นดิฉันก็ค่อยๆๆๆเดินขึ้นไปที่ละป้อม โดยถึงแต่ละป้อมดิฉันก็จะรูปไว้เป็นที่ระลึก แต่ขอบอกว่าที่ดิฉันแวะถ่ายรูปที่ป้อมนั้นเป็นการพักเหนื่อยค่ะ เดินไปเกือบชั่วโมงขึ้นไปได้แค่ 5 ป้อมเองค่ะ แต่ความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยนั้นแทบไม่เหลือเมือได้เห็นทิวทัศน์ ตรงข้างหน้าดิฉันมีแต่ขุนเขาซับซ้อนกันมองจนสุดลูกหูลูกตาเชี่ยวว่าได้ บรรยากาศก็เย็นสบายยากที่จะบอกเชี่ยว แต่ขอเตือนทุกคนที่จะมาเที่ยวกำแพงเมืองจีนค่ะว่าอย่าทานอาหารหรือน้ำจนอิ่มนะเพราะมันจะจุกจนคุณไม่สามารถที่จะเดินได้เลยให้ใช้การจิบน้ำเพื่อแก้กระหายเท่านั้นนะค่ะและอีกข้อค่ะคือ สัมภาระที่ติดตัวไปพยายามอย่าเอาไปเยอะค่ะเพรามันจะให้เราหนักและเดินลำบาก เอาไปเฉพาะจำเป็นค่ะ ดิฉันได้เก็บภาพความทรงจำในการปีนกำแพงในครั้งนี้ไว้เป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งเคยมาที่นี้แล้ว จากนั้นดิฉันก็เริ่มเดินทางลงสู่พื้นดินอีกครั้งแต่การลงนั้นแตกต่างจากการขึ้นมาเลยมันเร็วมาก จึงต้องหยุดคุยกันก่อนระกว่างลงและต้องระวังจะสะดุดได้เพราะบันไดแต่ละขั้นนั้นมันแคบและชันและการลงนั้นไม่เหนื่อยเหมือนตอนขึ้นก็มาจากแรงโน้มถ่วงของโลกเราอีกละ การเดินทางไปเที่ยวกำแพงเมืองจีนในครั้งจีนทำให้ดิฉันได้ข้อคิดบางอย่างขึ้นมาว่า การที่คนเราจะพยายามทำในสิ่งใดสิ่งหนึ่งแม้ว่ามันจะยากลำบากและมีอุปสรรคเพียงไหนก้เหมือนกับการสร้างกำแพงแต่ถ้าทุกคนมีความมุ่งมั่นความสำเร็จก็จะปรากฏให้เห็นไมาวาจะในรูปธรรมหรือนามอธรรม ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือเลวก็จะมีผู้รับรู้ได้ซึ่งสิ่งนั้นโดยไม่เสื่อมคลายดั่งกำแพงเมืองจีนที่ยืนยัดสู้แดดสู้ฝนสู้ธรรมชาติให้ลูกหลานได้เห็นในปัจจุบัน
ขอขอบคุณภาพสวยๆๆๆ
http://ikamiso.exteen.com
http://www.bloggang.com
http://www.oknation.net