วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555

กุ้ยหลินเมืองแห่งความฝัน สวรรค์บนพิภพ

กุ้ยหลิน เมืองแห่งความฝัน  สวรรค์บนพิภพ

           ทริปนี้ดิฉันมีโอกาสได้ไปพักผ่อนที่เมืองกุ้ยหลินค่ะ เพราะชื่่อเสียงเรียงนามของกุ้ยหลินนั้นค่อนข้างจะคุ้นหูคนไทยนะค่ะ อีกทั้งยังเป็นเมืองเล็กๆ ในมณฑลกวางสี  การเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังเมืองกุ้ยหลินในปัจจุบันสามารถบินตรงได้ด้วยสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ใช้เวลาบินสบายๆ ราว 3 ชั่วโมง
กว่าๆค่ะ ก็ถึงกุ้ยหลิน (ตามเวลาท้องถิ่น)
           สนามบินของเมืองกุ้ยหลินปัจจุบันยกระดับขึ้นเป็นสนามบินนานาชาติแล้ว แต่ตัวอาคารผู้โดยสารยังไม่ได้พัฒนาให้สวยงามทันสมัยเหมือนสนามบินสุวรรณภูมิ แต่เชื่อว่าอีกไม่นานหรอกค่ะ จีนคงทำแน่ เพราะยอดผู้โดยสารที่ผ่านเข้ากุ้ยหลินเพิ่มขึ้นทุกปี นอกจากนี้ยังถือว่ากุ้ยหลินเป็นประตูอีกบานของเขตปกครองพิเศษมณฑลกวางสี ที่มีประชากรอยู่รวมกันทั้งมณฑลหนาแน่นถึงกว่า 46 ล้านคน โดยมีชาวจีนเผ่าจ้วงอาศัยอยู่มากที่สุด
      ด้านหน้าของโรงแรม Water Fall ที่ดิฉันพักจะมีทะเลสาบเล็กๆ อยู่แห่งหนึ่งชื่อทะเลสาบซาหู (หู แปลว่าทะเลสาบ) กลางทะเลสาบมีเจดีย์คู่ (เจดีย์เงินเจดีย์ทอง) กลางคืนมืดค่ำเช่นนี้ เทศบาลเมืองกุ้ยหลินเปิดไฟส่องเจดีย์ทั้งสององค์เป็นสีเงินสีทองอร่ามดูสวยงามอยู่กลางน้ำ รอบๆ ทะเลสาบเป็นสวนหย่อมให้เหล่ากุมารจีนทั้งหญิงชายใช้เป็นที่พักผ่อนยามค่ำ ดูน่าจะมีความสุขดี          
          วันรุ่งขึ้นดิฉันได้ไปเที่ยวเมืองกุ้ยหลินจริงๆ เสียที ว่าธรรมชาติที่ยังบริสุทธิ์ของที่นี่อัศจรรย์สมคำล่ำลือดังที่เหล่านักเดินทางทั้งหลายได้พูดเอาไว้จริงๆ โดยเฉพาะภูเขาและสายน้ำ เรียกได้ว่ามองเท่าไรก็ไม่เบื่อ บางครั้งดูเหมือนภาพวาดมากกว่าของจริงเสียอีก ธรรมชาติอันแปลกพิสดารของเมืองกุ้ยหลินนี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกเมื่อราว 300 ล้านปีมาแล้ว ทำให้พื้นดินบริเวณนี้ซึ่งเคยเป็นทะเลมาก่อนยกตัวขึ้นสูง ภูเขาหินปูนใต้ทะเลที่มีอยู่มากมายจนเรียกได้ว่าเป็นทะเลภูเขาก็ผุดขึ้นมา กระทั่งถูกลมและน้ำฝนกัดจนกร่อน เกิดรอยตะปุ่มตะป่ำเว้าๆ แหว่งๆ อย่างที่เห็นในปัจจุบันเลยค่ะ กลายเป็นภาพที่งดงามแปลกตาหาชมที่ไหนไม่ได้เหมือนที่ใครต่อใครพูดถึงจริงๆ เนื่องจากเมืองกุ้ยหลินอยู่ติดกับทะเลจีนใต้ซึ่งมีถึง 4 ฤดู ความที่เคยเป็นทะเลมาก่อน พื้นดินจึงอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ธาตุ ปลูกอะไรก็งอกงามไปหมด ทั้งที่ตามธรรมชาติแถบนี้ก็เขียวอยู่แล้ว เพราะน้ำท่าบริบูรณ์ ไม่มีคำว่าแล้ง มองไปทางไหนก็เขียวไปหมดเลย พิพิธภัณฑ์หินงาม ภายในเก็บรักษาฟอสซิล และจัดแสดงหินธรรมชาติที่มีลักษณะเฉพาะ รูปร่างแปลกตา หายาก หินบางก้อนทรงคุณค่าแบบประมาณค่าไม่ได้   หยางซั่ว เดิมเป็นหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆมีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 650 ปี พอจีนเปิดประเทศในปี ค.ศ.1978 หยางซั่วก็เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวแบ็กแพ็ก จากนั้นหยางซั่วได้พัฒนาเมืองจนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวโด่งดังควบคู่ไปกับเมืองกุ้ยหลิน โดยเฉพาะกับกิจกรรมล่องเรือทัศนาแม่น้ำหลี(หลีเจียง)จากกุ้ยหลินสู่หยางซั่วนั้น ถือเป็นกิจกรรมท่องเที่ยวยอดฮิต เพราะทิวทัศน์สายน้ำขุนเขาในเส้นทางสายนี้  “แม่น้ำนี้งดงามราวสายเข็มขัดไหมสีมรกต ส่วนภูผานั่นเล่าเป็นดังจุฑามณีสีหยก”อย่างไรก็ดีหากใครเดินทางมาหยางซั่วทางถนน(เหมือนกับดิฉันในทริปนี้) ก็สามารถล่องเรือระยะสั้นชม 2 ฟากฝั่งแม่น้ำหลีได้ เพราะทิวทัศน์ขุนเขาและคุ้งน้ำที่ได้ชื่อว่าโดดเด่นที่สุดในเส้นทางล่องแม่น้ำหลีนั้นอยู่ในเมืองหยางซั่วนี่เอง นอกจากเส้นทางล่องเรือชมแม่น้ำหลีแล้ว หยางซั่วยังมีเส้นทางล่องแพไม้ไผ่ไปตามแม่น้ำ “มังกรหยก” ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับลำน้ำสายนี้อย่างใกล้ชิด  ส่วนภูเขาแค่เดินทางเข้ามาในเมืองกุ้ยหลินเราก็จะได้พบเห็นขุนเขาน้อยใหญ่มากมายตั้งตระหง่านอยู่ทั่วเมือง ขุนเขาในตัวเมืองเหล่านี้ล้วนต่างเป็นเขาหินปูนที่ถูกธรรมชาติสร้างสรรค์ให้มีรูปร่างแปลกตาโดยขุนเขาไฮไลท์ที่ถือเป็นดังสัญลักษณ์ของเมืองกุ้ยหลินก็คือ “เขางวงช้าง”(เซี่ยงปี๋ซาน) ที่ในมุมมองจะมีรูปลักษณะคล้ายช้างกำลังยื่นงวงดูดน้ำในแม่น้ำหลี ซึ่งในบริเวณริมฝั่งน้ำของเขาลูกนี้จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเดินเล่น  บ้างก็ไปล่องเรือ-ล่องแพไม้ไผ่ท่องลำน้ำหลีในระยะสั้นๆ ส่วนที่นิยมกันมากก็เห็นจะเป็นการไปยืนโพสต์ท่าถ่ายรูปคู่กับเขางวงช้าง เพื่อให้ได้ภาพที่ประทับใจกลับไปขณะที่การเที่ยวชมถ้ำกับหินงอกหินย้อยถือเป็นของคู่กัน สำหรับถ้ำยอดฮิตอันดับหนึ่งในตัวเมืองกุ้ยหลินได้แก่ “ถ้ำขลุ่ยอ้อ”(หลูตี๋เหยียน)    ภายในถ้ำขลุ่ยอ้องดงามปานเนรมิตไปด้วยหินงอกหินย้อยจำนวนมากให้ดิฉันได้จินตนาการตามคำบอกเล่าของไกด์นำเที่ยวกันตามใจชอบ ไม่ว่าจะเป็น เสาหิน ผ้าม่าน หินรูปมนุษย์หิมะ ตุ๊กแก เจ้าแม่กวนอิม พระพุทธรูป ตาแป๊ะ ปลาทอง สิงโตรับแขก สิงโตส่งแขก โดยมีไฮไลท์ประจำถ้ำเป็น “วังบาดาล” ที่เป็นวังน้ำมีหินงอกหินย้อย ทอดเงาตกสะท้อนลงในวังน้ำ ซึ่งทางการจีนได้ตกแต่งด้วยการฉายย้อมแสงสีไฟหลากสีส่องประดับลงไปท่ามกลางโถงถ้ำขนาดใหญ่ ดูแล้วงดงามวิจิตรยิ่งนัก หันมาดูที่ไฮไลท์สุดท้ายอย่างสวนสาธารณะกันบ้าง กุ้ยหลินมีสวนสาธารณะชื่อดังคือ “สวน 7 ดาว” สวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดของเมือง  สวน 7 ดาว มียอดเขา 7 ยอด ภายในมีจุดชวนชมอย่าง เขารูปอูฐ วัด ถ้ำ ป่าศิลาจารึก และสวนสัตว์ ที่ครั้งหนึ่งเคยมี“เหมยเหม่ย” หมีแพนด้าที่อายุยืนที่สุดของจีนเป็นดาวเด่น แต่วันนี้เหมยเหม่ยได้ลาโลกจากไปนานหลายปีแล้ว     
       นอกจากไฮไลท์ท่องเที่ยว 5 สิ่งของคนจีนตามคำบอกเล่าแล้ว กุ้ยหลิน ยังมีไฮไลท์ลำกับที่หกสำหรับคนไทยนั่นก็คือ “ถนนคนเดิน” ช้อปปิ้งแหล่งช้อปปิ้งขนาดใหญ่ที่มากมายไปด้วยสินค้าสารพัดสารพันทั้งบนดินและใต้ดิน ถ้ำแห่งนี้ เปิดให้เที่ยวชมมาร่วม 50 ปีแล้ว จัดเป็นถ้ำสำคัญในระดับรับแขกบ้านแขกเมืองเคยรับอาคันตุกะดังๆของโลกมาแล้วหลายคน รวมถึงเคยใช้รับเสด็จสมเด็จพระพี่นางฯเมื่อคราวเสด็จมาเยือนกุ้ยหลินในปี พ.ศ. 2546 ด้วย  "วันสุดท้ายก่อนกลับดิฉันก็ได้ไปนั่งกระเช้าที่ภูเขาที่สูงที่สุดในกุ้ยหลินที่เสียวมากๆๆสำหรับคนที่กลัวความสูงเพราะดูไม่ปลอดภัยแต่พอขึ้นไปแล้วก็ไม่มีอะไรมาก สนุกดีค่ะ แล้ววิธีการขึ้นเขาของที่นี่มีสองแบบ คือ ขึ้นกระเช้าและเดินขึ้นไป"ส่วนตอนลงก็มีให้เลือก ว่าจะลงกระเช้าหรือจะลงแบบรถเล็กๆสไลด์ลงมาเมื่อมาถึงแล้วดิฉันต้องลองให้ครบทุกแบบค่ะ ฉันเลือกลงแบบสไลด์ลงมาแต่ก่อนจะลงดิฉันก็ต้องเสียไป 35 หยวน 

             
       ขอบคุณแหล่งข้อมูลและภาพสวยๆๆ
       
       
       http://www.oknation.net/http:
  http://www.manager.co.th
      
       
       
       
       
       
       
      
       
       
       
      
       
      
       
       
       
      
       
      
       
       
       
      
       
      
       
      
       
       
       
      
             

          

   

วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555

คุนหมิง-นครแห่งฤดูใบไม้ผลิ



คุนหมิง นครแห่งฤดูใบไม้ผลิ

เที่ยวจีน ณ ดินแดนที่มีป่าหินสวยงามพร้อมกับบรรยายกาศสบายๆๆที่คุณและใครๆๆก็ไม่พลาด คุนหมิงไม่ลองก็ไม่รู้  ดิฉันนั่งเคื่องบินของจีน เที่ยวบินที่ MU 742 ขึ้นเครื่องไม่ทันไรก็มีแอร์โฮสเตสมาเสริฟ์อาหารพร้อมเครื่องดื่ม ถือว่าบริการใช้ได้เลย พอดิฉันทานเสร็จเรียบร้อย ดิฉันกำลังจะหลับพักผ่อนซะหน่อย เสียงกัปตันก็ดังขึ้น เหินฟ้าไม่ถึง 2 ชั่วโมงดีก็ถึงแล้ว ยังไม่ได้นอนเลยถึงแล้วอ่ะ  พอลงเครื่องก็จะมีรถเมล์คล้ายๆบ้านเรามารับที่สนามบิน อูเจียป้า  อากาศที่นี้เย็นสบายมากเลยค่ะ พอลงเครื่องแล้วก็ได้สัมผัสลมเย็นๆปะทะผิวเลยที่เดียว ไม่หนาวมากพอสบายตัวเหมาะกับคนไทย  มิน่าถึงได้สมญานามว่าเป็น "นครแห่งฤดูใบไม้ผลิ"เพราะมีอากาศเย็นทั้งปี ที่แรกที่ดิฉันได้มาเที่ยวคุนหมิงที่ใครๆมาที่นี้ไม่มีทางพลาด อุทยานป่าหิน  อันลือชื่อ พอได้มาเห็นกับตาก็รู้เลยว่าสมชื่อเขาเลยแหละ ว่าทำไมถึงเรียกว่าป่าหิน เป็นหินขึ้นเรียงกันเหมือนต้นไม้เลยสุดลูกหูลูกตาสวยงามมาก  เพราะป่าหินที่นี้เขาให้เดินชมได้อย่างธรรมชาติจริงๆต้องเดินไปตามซอกหินทางก็ไม่ค่อยแคบเท่าไร เดินสบายมาก อากาศค่อนข้างเย็นสบายมากๆเดินไปฟังบรรยายไป ไกด์ก็จะบรรยายรูปหินว่าลููบๆคล่ำๆแล้วจะสุขภาพดี จะแข็งแรง ดิฉันก็ไปลูบๆคล่ำๆตามที่ไกด์บอก  ถ้ำจิ่วเซียงการเดินทางมีอยู่สองอย่างให้ผู้ที่มาเที่ยวเลือกได้ตามใจ  ทางเลือกแรกเป็นการเดินค่ะ เดินก็ประมาณ  6-7 กิโล เดินตามขันบันไดขึ้นๆลงๆตามไหล่เขา และทางเลือกที่สอง คือลงลิฟต์ ดิฉันเลือกลงลิฟต์ค่ะ  พอลงจากลิฟต์ดิฉันก็มานั่งเรือชมความสวยงามของช่องแคบ ซึ่งทั้ง 2 ข้างเป็นหน้าผาที่มีความสูงถึง 150 เมตร ชมความสวยงามเสร็จก็ถึงเวลาเข้าถ้ำกัน ในถำประกอบด้วย 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นถ้ำธรรมชาติซึ่งเคยเป็นที่อยู่อาศัยของคนเผ่าน้อยในสมัยก่อน ในถ้ำมีการประดับแสงสีไว้สวยงามเลยค่ะ ส่าวที่สองคือถ้ำน้ำ ในถ้ำประกอบด้วยน้ำตกตัวเมียตัวผู้และมีแปลงนาเป็นขันบันไดร้อยชั้น พอมาถึงช่วงที่สองเนี้ยะละค่ะทำเอาดิฉันเหนื่อยใจแทบขาด เดินจนทะลุออกจากถ้ำ ด้านในถ้ำสวยมากๆๆ ดิฉันต้องกระเช้าไฟฟ้ากลับไปทางเข้า เพราะถ้าไม่นั่งกระเช้าไฟฟ้าจะต้องเดินย้อนกลับไปที่เดิม คงไม่มีใครหรอค่ะที่ไม่นั่งกระเช้าๆไฟฟ้า 
เป็นเช้าอีกวันหนึ่งที่อากาศสดใส ออกเดินทางไปยัง เขาซีซาน ประตูมังกร มีคนบอกว่ามาถึงต้องเอามือล่วงปากสิงโตแล้วเอามาใส่กระเป๋ากางเกง ห้ามแบมือก่อนใส่ในกางเกง จะทำให้มีเงินทองไหลมา เทมา ให้กระเป๋าแบบว่ารวยๆ ประตูมังกรซึ่งถื่ว่าเป็นประตูแห่งความโชคลาภและความมั่งคั่ง เป็นประตูสิริมงคล คนจีนเชื่อว่าใครได้เดินผ่านประตูแห่งนี้จะมีโชคลาภ
ตำหนักทอง ซึ่งนายพลอู๋ซานกุ้ย แห่งราชวงศ์หมิงสร้างขึ้นเพื่อเลียนแบบพระราชวังหลวงกรุงปักกิ่ง ตำหนักทองแห่งนีมีหลังคาและฝาผนังที่สร้างด้วยแผ่นทองเหลืองน้ำหนักถึง 380 ตันถือว่าเป็นตำหนักทองที่ใหญ่ที่สุดของเมืองทอง สวยที่สุด และด้านหน้าจะมีตัวภาษาจีนที่อยู่ต้อนรับก่อนเข้ามา คือ เฮง ใครผ่านประตูนี้ก็จะเฮงๆๆๆ และภายในตำหนักทองยังมี
ต้นจักะจี้ ถ้าได้ลูบที่ลำต้นมันนะ ใบด้านบนมันจะสั่นๆ มันก็แปลกไปอีกแบบ เพราะดิฉันลองไปลูบเบาๆๆก็มีอาการสั่นๆค่ะ น่าทึ่งมาก  และแล้วก็มาถึงที่เที่ยวที่สุดท้ายของทริปนี้ค่ะ


วัดหยวนทง  ตั้งอยู่ใจกลางเมืองคุนหมิง  จุดเด่นของวัดนี้อยู่ที่อาคารต่างๆภายในวัดจะสร้างอยู่บรเวณตีนเขา ซึ่งแตกต่างไปจากวัดทั่วไปของจีนที่มักสร้างไว้ในที่สูง  มีการเล่าขานกันว่าวัดหยวนทงเป็นเพียงศาลเจ้าแม่กวนอิม ภายหลังมีผู้คนมากราบไหว้มากขึ้นเรื่อยๆศาลเจ้าแม่กวนอิมจึงถูกสร้างเป็นวัดในเวลาต่อมา และภายในวัดหยวนทงยังมีโบสถ์ไทยอันเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธชินราชจำลองที่ท่านนายกเกรียงศักดิ์  ชมะนันท์ ได้อันเชิญมาจากพิษณุโลก เพื่อเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีระหว่างไทย-จีน นับเป็นพระพุทธรูปองค์แรกของไทยที่ถูกอัญเชิญมาประดิษฐานไว้ในวัดเมืองจีน ดิฉันได้ไปกราบก่อนเดินทางกลับเพื่อเป็นสิริมงคล
ขอบคุณแหล่งข้อมูลและภาพถ่ายสวยๆๆ
http://www.thaimoderntravel.com

http://www.ohomylife.com

วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555

อวตาร จางเจียเจี้ย




    จางเจียเจี้ย ตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศจีนอยู่ในมณฑลหูหนานได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1992และได้รับการกล่าวขวัญถึงความงดงามของทิวเขากว่าว 3,000 ลูก สายน้ำที่งดงามอีกมากมาย มีคนเคยบอกว่าอยากเห็นเขาแปลกๆๆให้มาที่จางเจียเจี้ย ดิฉันก็ได้มาที่จางเจียเจี้ยตามคำบอกเล่า  พอมาถึงดิฉันจะต้องซื้อบัตรผ่านประตูคนละ 248 หยวน ต้องเข้าแถวซื้อตั๋วกันยาวเหยียดมาก และต้องเข้าแถวเพื่อที่จะรอขึ้นรถไปยังจุดต่างๆภายในบริเวณอุทยานจางเจียเจี้ย เป็นการท่องเที่ยวที่มีกฎระเบียบมาก ทุกอย่างจะต้องเข้าแถวรอ วันที่ดิฉันไปเที่ยวที่จางเจียเจี้ย เป็นวันที่นักท่องเที่ยวเยอะมากๆ ดิฉันก็เข้าแถวเพื่อที่จะไปท่องเที่ยวที่สำคัญของอุทยานจางเจียเจี้ย ได้แก่ ภาพวาดสิบลี้  เขาหยวนเจียเจี้ย  
หวงสือจ้าย สะพานใต้หล้าอันดับหนึ่ง  สวนนายพลเฮ่อหลง  ทะเลสาบเป่าเฟิง  ภูเขามังกรเหลือง เป็นต้นและในแต่สถานที่ดิฉันต้องเข้าแถวรอขึ้นกระเช้า เพื่อให้ได้ชมความงดงามของขุนเขาอุทยานจางเจียเจี้ยแห่งนี้ด้วยความอดทน บางแห่งดิฉันต้องรอเป็นชั่วโมง  
    จุดแรกที่ดิฉันจะได้ไปชมและได้สัมผัสจะต้องนั่งรถรางในการชมทิวทัศน์  ขุนเขาอันยิ่งใหญ่และกว้างใหญ่พอสมควร ซึ่งมีความสวยงามมากและมีคนจินตนาการเปรียบเสมือนภาพเขียนขนาดใหญ่หรือที่เรียกกันว่า ภาพเขียนสิบลี้   เพื่อไม่ให้เสียเวลาดิฉันเดินทางไปยัง ธารน้ำแส้ทองหรือจินเปียน  ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งในอุทยานจางเจียเจี้ย โดยมีความยาวทั้งหมด 8 กิโลเมตร และมีขุนเขารูปลักษณ์ตระการตากว่า 4,000 ลูก ก้าวหนึ่งมีวิวหนึ่ง  วิวหนึ่งมีภาพหนึ่ง เป็นภาพที่ไม่ซ้ำกันเลยอ่ะ  ทำให้ดิฉันเพลิดเพลินมากๆๆ ดิฉันเดินไปตามริม ธารน้ำแส้ทอง สัมผัสอากาศเย็นสบายสดชื่นมาก มันทำให้ดิฉันรู้สึกกระปี้กระเปร่าขึ้นมา "ธารน้ำแส้ทองมีภูหินสูงจากพื้นกว่า 250 เมตร  รูปลักษณ์ของหินผาลูกนี้เหมือนแส้ซึ้งเป็นอาวุธโบราณชนิดหนึ่ง จึงได้ชื่อว่า หินผาแส้ทอง เนื่องจากมีซิลิกอนไดอ็อกไซด์ ผสมอยู่ในเนื้อหิน เมื่อแสงแดดสาดส่องจะมีแสงสะท้อนเป็นสีทอง"  ขอบอกว่าสวยมากๆๆๆ  หุบเขาสองฝั่งยืนคุมเชิงกันงามแปลกตายิ่ง  ผาสีแดง กับต้นไม้เขียวขจีทอดเงากลับหัวอยู่ในน้ำ ขณะที่ดิฉันเดินตามทางเดินเล็กๆที่อยู่บริเวณสองข้างธารน้ำ ให้ควาเย็นสบายซึมซาบเข้าในหัวใจตลอดการเหยียบย่างไปบนสะพานไม้ บันไดหิน ชมปลาหลากสีเล่นน้ำ เพลินมากๆ นอกจากภูเขา สายน้ำและพันธุ์สัตว์แล้ว ถ้ำในจางเจียเจี้ยมีจำนวนมากและขนาดใหญ่ ต่ามีเอกลักษณ์และชื่อเรียกต่างกัน เช่น ถ้ำหวงหลงหรือถ้ำมังกรเหลือง ถ้ำกวนอิม ถ้ำเสี่ยงสุ่ย เป็นต้น  ถ้ำหวงหลงหรือถ้ำมังกรเหลืองในหุบเขาสั่วซีมีความยาว 7.5 กิโลเมตร โดยแบ่งเป็น 4 ชั้น ภายในถ้ำมีอ่างเก็บน้ำ แห่งหนึ่ง ธารน้ำสองสาย น้ำตกสามแห่ง สระน้ำ 4 แห่ง ห้องโถง 13 แห่ง และมีระเบียง 96 สาย   อะไรจะเยอะขนาดนี้ ดิฉันเข้าไปไม่หมดหรอกค่ะเพราะดิฉันเริ่มเหนื่อยแล้ว แต่มันสวยมากๆๆๆ  และดิฉันก็ไปต่อที่ เทียนเหมินซาน หรือ ประตูสวรรค์ เหตุที่เรียกว่าประตูสวรรค์เพราะว่าภูเขาเกิดปริแตกจนกลายเป็นช่องประตูขึ้นเองโดยธรรมชาติ ช่องประตูนี้สูง 131.5 เมตร กว้าง 57 เมตร ลึก 60 เมตร ดิฉันตั้งใจจะขึ้นไปถึงยอดเขาโดยการนั่งกระเช้ามีความยาวถึง 7.5 กิโลเมตร ใช้เวลา 40 นาที ขณะนั่งกระเช้าดิฉันได้สัมผัสความงดงามของภูเขานับร้อยยอดที่สูงเสียดฟ้าและชมเส้นทางขึ้นเขาที่มีโค้งถึง 99 โค้ง ดิฉันตื่นเต้นมากๆๆ และดิฉันได้เห็นช่องเขาประตูสวรรค์และวิวทิวทัศน์ที่สวยดั่งสวรรค์จากช่องเขานี้เลยค่ะทำให้ดิฉันต้องยกกล้องเก็บภาพประทับใจไว้เป็นที่ระลึก แหล่งที่พลาดไม่ได้เละค่ะ  ภุเขาหนันเทียนอีจู้ หรือ เสาหินแห่งฟ้าแดนใต้  ภูเขาลูกนี้มีรูปโฉมเหมือนเสาขนาดมหึมา ที่สูงตระง่านเหนือระดับนำ้ทะเล 1,074 เมตร  ยอดเขาปกคลุมด้วยต้นไม้ใบหญ้าที่เขียวขจี ทิวทัศน์สวยประหลาดที่บริเวณภูเขาที่มีรูปทรงอัศจรรย์นี้ซึ่งปรากฎเป็นฉากในภาพยนต์เรื่องอวตารนี้เองค่ะ ชอบมากอ่ะ เคยเห็นในภาพยนต์อวตาร พอมาเห็นของจริงสวยมาก ประทับใจที่สุดที่ได้มาเที่ยวอุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย










ขอบคุณสำหรับข้อมูลและภาพสวยๆๆ
http://www.holidaythai.com    
http://travel.thaiza.com/http
www.extraholidaysthailand.com



วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2555

กำแพงเมืองจีนสิ่งมหัศจรรย์ของโลก


กำแพงเมืองจีน สิ่งมหัศจรรย์อีกแห่งของโลก



กำแพงเมืองจีนเป็นการท่องเที่ยวที่ว่าเป็น 1 ใน  7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก กำแพงเมืองจีนนั้นตั้งอยู่ชานเมืองปักกิ่ง และกินบริเวณกว้างมาก  วันนี้ต้องออกเดินทางให้เร็วกว่าที่กำหนดค่ะเพราะต้องใช้เวลาเดินทางออกไปประมาณ 2 - 3 ชั่วโมง  วันนี้อากาศค่อนข้างดีอยู่ที่ประมาณ 22 - 23 องศา แต่สำหรับดิฉันก็ต้องใส่เสื้อกันหนาวแบบบางๆๆค่ะเพราะอากาศค่อนข้างเย็นๆๆๆไม่ถึงกับหนาวค่ะ กำแพงเมืองจีนนี้เปรียบเสมือนประวัติศาสตร์ที่จารึกถึงการเสียเลือดเนื้อและน้ำตาประชาชนในอดีตสมัยโบราณ
พระมหากษัตรย์ที่ทำการก่อสร้างกำแพงเพื่อป้องกันการบุกรุกของศัตรู การก่อสร้างนั้นต้องเกณฑ์ไพร่พลเป็นจำนวนมากมีระยะทางข้ามเขาหลายลูกล้อมพระราชวัง จนบางคนก็เรียกว่า กำแพงหมื่นลี้  เมื่อดิฉันได้ไปถึงก็ได้เห็นความยิ่งใหญ่สมกับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกจริงๆๆๆๆด่านที่ดิฉันจะไปพิชิตก็ว่าได้ค่ะ มีทั้งหมด 7 ด่าน แต่ไม่รู้ว่าดิฉันจะพิชิตได้กี่ด่าน เราไปด่านแรกกันดีกว่าค่ะ ดิฉันเดินขึ้นสู่ด่านแรกจะเป็นทางลาดชันเหมือนกับว่าเราเดินขึ้นเขาธรรมดานะ การเดินก็เหมือนว่าเราเดินต้านแรงโน้มถ่วงของโลกเลยอ่ะ ตรงกลางทางขึ้นเขาก็จะมีแผ่นหินจารึกของท่านประธานเหมา เขียนเป็นอักษรจีน ทำนองว่าเราได้มาถึงกำแพงเมืองจีนแล้ว พวกเราก็จะไปแอ๊กท่าถ่ายรูกันตามระเบียบ หลังจากนั้นดิฉันก็เริ่มเดินมุ่งขึ้นกำแพงต่อ ดิฉันสังเกตุเห็นบริเวณกำแพงว่าจะมีโซ่ขึ้งเป็นระยะทางยาวซึ่งโซ่นั้นเต็มไปด้วยแม่กุญแจที่ล็อคไว้โดยปราศจากลูกกุญแจเป็นแนวยาวไปตลอดเลยอ่ะ  ด้วยความสงสัยดิฉันเลยถามคนแถวนั้นว่าความหมายของการทำเช่นนั้นหมายอะไร ความหมายก็คือว่าเป็นการให้คำมั่นสัญญาต่อกันว่าจะเป็นคู่รักกันตลอดไปเป็นการให้คำมั่นสัญญากันระหว่างคนสองคนโดยต่างคนก็เก็บกุญแจไว้คนละดอกอะไรประมาณนี้ค่ะ  หลังจากนั้นดิฉันก็ค่อยๆๆๆเดินขึ้นไปที่ละป้อม โดยถึงแต่ละป้อมดิฉันก็จะรูปไว้เป็นที่ระลึก แต่ขอบอกว่าที่ดิฉันแวะถ่ายรูปที่ป้อมนั้นเป็นการพักเหนื่อยค่ะ เดินไปเกือบชั่วโมงขึ้นไปได้แค่ 5 ป้อมเองค่ะ แต่ความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยนั้นแทบไม่เหลือเมือได้เห็นทิวทัศน์ ตรงข้างหน้าดิฉันมีแต่ขุนเขาซับซ้อนกันมองจนสุดลูกหูลูกตาเชี่ยวว่าได้ บรรยากาศก็เย็นสบายยากที่จะบอกเชี่ยว  แต่ขอเตือนทุกคนที่จะมาเที่ยวกำแพงเมืองจีนค่ะว่าอย่าทานอาหารหรือน้ำจนอิ่มนะเพราะมันจะจุกจนคุณไม่สามารถที่จะเดินได้เลยให้ใช้การจิบน้ำเพื่อแก้กระหายเท่านั้นนะค่ะและอีกข้อค่ะคือ สัมภาระที่ติดตัวไปพยายามอย่าเอาไปเยอะค่ะเพรามันจะให้เราหนักและเดินลำบาก เอาไปเฉพาะจำเป็นค่ะ ดิฉันได้เก็บภาพความทรงจำในการปีนกำแพงในครั้งนี้ไว้เป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งเคยมาที่นี้แล้ว  จากนั้นดิฉันก็เริ่มเดินทางลงสู่พื้นดินอีกครั้งแต่การลงนั้นแตกต่างจากการขึ้นมาเลยมันเร็วมาก จึงต้องหยุดคุยกันก่อนระกว่างลงและต้องระวังจะสะดุดได้เพราะบันไดแต่ละขั้นนั้นมันแคบและชันและการลงนั้นไม่เหนื่อยเหมือนตอนขึ้นก็มาจากแรงโน้มถ่วงของโลกเราอีกละ  การเดินทางไปเที่ยวกำแพงเมืองจีนในครั้งจีนทำให้ดิฉันได้ข้อคิดบางอย่างขึ้นมาว่า การที่คนเราจะพยายามทำในสิ่งใดสิ่งหนึ่งแม้ว่ามันจะยากลำบากและมีอุปสรรคเพียงไหนก้เหมือนกับการสร้างกำแพงแต่ถ้าทุกคนมีความมุ่งมั่นความสำเร็จก็จะปรากฏให้เห็นไมาวาจะในรูปธรรมหรือนามอธรรม ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือเลวก็จะมีผู้รับรู้ได้ซึ่งสิ่งนั้นโดยไม่เสื่อมคลายดั่งกำแพงเมืองจีนที่ยืนยัดสู้แดดสู้ฝนสู้ธรรมชาติให้ลูกหลานได้เห็นในปัจจุบัน

 

ขอขอบคุณภาพสวยๆๆๆ

                                                    http://ikamiso.exteen.com 
                                                    http://www.bloggang.com  
                                                                     http://www.oknation.net

วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2555

อุทยานแห่งชาติจิ่วจ้ายโกว

                                                  จิ่วจ้ายโกว

อุทยานจิ่วจ้ายโกว หรือดินแดนแห่งเทพนิยาย จิ่วจ้ายโกวมีชื่อเสียงด้านความงามแห่งสีสันที่แปลกเปลี่ยน ไม่รู้จบ ทะเลสาบผุดขึ้นท่ามกลางหมู่แมกไม้เขียวขจี สายน้ำท้องน้ำในทะเลสาบสีฟ้าที่ดูสงบนิ่งและใสดุจกระจก ยอดเขาประกายหิมะ เงาของไม้หลากสีสันต้องแสงแดดสะท้อนลงบนผิวน้ำใสราวกระจกของทะเลสาบ เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติอันงดงามที่แปรเปลี่ยนไปตามฤดูกาลผลิ ร้อน ร่วง หนาว ไม่ว่ายามสงัดฟ้าใส หรือฝน ยามเช้าหรือยามเย็น หิมะโปรยหรือยามฝนพรำ สีของน้ำในทะเลสาบก็จะแปรเปลี่ยนไป บ้างเขียวครึ้ม ผสมน้ำเงินเข้ม บ้างฟ้าเขียวสดใส อีกทั้งสาหร่ายและพืชพรรณใต้น้ำที่สะท้อนเงาแดดต่างประชันขันแข่งกันให้สีเขียวมรกต เหลืองบุษราคัม ชมพูจนถึงแดงอ่อน ราวกับเพชรพลอยที่ส่องแสงสะท้อนบาดตายามฤดูใบไม้ผลิ แมกไม้ผลิดอกใบ ทั้งสีแดง เหลือง ม่วง ขาว ที่กำลังผลิดอกออกใบสะพรั่งในฤดูกาลนี้ เมื่อเข้าสู่ฤดูร้อน ป่าทั้งผืนจะกลายเป็นสีเขียวไล่ระดับตั้งแต่เขียวอ่อน เขียวสดใส เขียวเจิดจ้า เขียวเข้ม สะท้อนถึงความเข้มข้นของชีวิตอันอุดมในผืนป่าแห่งนี้ เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาเยือน ต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่รอบทะเลสาบจะทยอยผลัดใบเปลี่ยนสีร่วงลงสู่ทะเลสาบ สร้างสีสันให้กับโลกใต้น้ำ ป่าผลัดใบเป็นสีสันฉูดฉาด บ้างเป็นสีส้มเข้ม เหลืองอ่อน แดงชาด แดงเข้ม จนถึงแดงคล้ำ ใบไม้ที่ร่วงหล่น ทำให้กลายเป็นสีแดงฉาน พอย่างเข้าสู่ฤดูหนาว ทุกหนแห่งถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวสะอาดตา น้ำตกที่แข็งตัว เป็นเส้นสาย หยดย้อยลงมาราวกับม่านสีเงิน ส่องประกายวิบวับในแสงแดดอ่อน ผืนป่าถูกปกคลุมด้วยหมอกขาวบางเบา ดูราวกับภาพในฝัน สายธารน้ำสีเงินผนึกตัวเป็นแผ่นน้ำแข็ง ราวกับกระเบื้องเคลือบชั้นดี ที่ประดับตกแต่งด้วยเพชรพลอยสีสดใสอยู่ จิ่วจ้ายโกวสร้างขึ้นด้วยมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ขุนเขาเขียวขจี สายน้ำใสสะอาดไหลริน ขุนเขาโอบล้อมสายน้ำ แมกไม้สายธารแนบชิด นับเป็นทิวทัศน์อันสดชื่นกระจ่างตาภายใต้ของธรรมชาติ  เป็นอะไรที่น่าทึ่งและน่าสนใจที่แปลกประหลาดของจิ่วจ้ายโกว ทั้งนี้จิ่วจ้ายโกว ยังมี  ทะเลสาบ 5 สี ตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่าทำไม่ถึงเรียกว่าทะเลสาบ 5 สี พอได้มาเห็นรูปภาพทะเลสาบ5 สี ที่เรียกชื่อนี้เพราะว่าน้ำในทะเลสาบจะเปลี่ยนไปตามช่วงเวลาหรือฤดูกาล โดยมีทั้งสีฟ้า เขียว เหลือง ขาว และม่วงแดง อันเกิดจากบรรดาสาหร่ายขนาดจิ๋วชนิดเฉพาะที่เติบโตอยู่ในน้ำซึ่งมีแร่ธาตุละลายปนอยู่ ยามแสงตกกระทบจึงสะท้อนแสงสีน้ำเงินออกมาให้เห็น

 จิ่วจ้ายโกวยังมีทะเลสาบอื่นๆอีก
ทะเลสาบแพนด้า ที่เรียกว่าทะเลสาบแพนด้าก็เพราะว่า ตรงทะเลสาบนี้มีไผ่ลูกสร ที่เป็นอาหารของหมีแพนด้าขึ้นอยู่มากมาย และชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่นี้ก็เคยพบเห็นแพนด้าออกมาหาอาหารที่นี้บ่อยๆ น้ำที่เห็นในทะเลสาบเป็นสีน้ำเงินเข้ม สีครามสวยงามมาก
ทะเลสาบนกยูง  ลวดลายของสีน้ำที่ปรากฏเหมือนนกยูงที่กำลังโชว์ความสวยงามของหางที่มีสีสันแตกต่างกันไป สีของน้ำที่เป็นสีครามอมน้ำเงินเข้มในบริเวณที่น้ำลึก และมีสีเขียว ในบริเวณน้ำตื่น ตกแต่งด้วยสีของกิ่งไม้ และขอนไม้ที่จมอยู่ใต้น้ำ สีสันของน้ำถูกตกแต่งด้วยเงาสะท้อนของท้องฟ้า และภูเขาที่อยู่ราบล้อมทะเลสาบ ทะเลสาบกว้างใหญ่ กับความสวยงามที่เหนือคำบรรยาย
ทะเลสาบแรด และทะเลสาบเสือ สองทะเลสาบนี้อยู่ติดกัน ทะเลสาบ ตรงนี้น้ำในทะเลสาบนิ่งมาก มองเห็นเงาสะท้อนของภูเขา สวยงามมากจริงๆ ที่น่าสนประทับใจคือ ต้นซากุระสีชมพู อยู่เคียงข้างธารน้ำตก
ทะเลสาบมังกรคู่ ทะเลสาบมังกรคู่วางตัวอยู่ใกล้กับทะเลสาบประกายไฟ มีหงษ์และเป็ดแมนดารินมาเล่นน้ำที่ทะเลสาบนี้ชื่อของทะเลสาบนี้มาจากแนวหินปูนก้นทะเลสาบที่มีรูปร่างเหมือนมังกรสองตัวตำนานโบราณของชาวธิเบต ในอดีตมีมังกรร้ายสองตัวเข้ามาทำร้ายชาวธิเบตในดินแดนจิ่วจ้ายโกวนี้ โดยพ่น  ลูกเห็บและพายุหิมะมายังหมู่บ้านในที่สุดเทพเจ้ากีซา ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวธิเบตได้มาปราบมังกรทั้งสองตัวนี้ และล่ามโซ่มังกรทั้งสองนี้ไว้ใต้ทะเลสาบ
น้ำตกนู่รื่อหลาง เป็นน้ำตกที่กว้างทีสุดในจิ่วจ้ายโกว นู่รื่อหลางเป็นภาษาธิเบตแปลว่า ยิ่งใหญ่และอัศจรรย์ ด้านบนของน้ำตกเป็นที่ราบ สายน้ำไหลลัดเลาะ ลงสู่พื้นด้านล่างเกิดเป็นน้ำตกที่สวยงามช่วงเวลาที่เหมาะสมในการชมน้ำตกธารไข่มุกคือตอนเช้า(ต้องมาฤดูฝน) เพราะจะได้เห็นละอองน้ำต้องประกายแสงอาทิตย์ทอเป็นสายรุ้งอันวิจิตรมี หรือถ้ามาฤดูหนาวก็จะเห็นน้ำตกกลายเป็นหิมะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของธรรมชาติจริงๆๆ
ทะเลสาบยาว  ทะเลสาบยาว เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในจิ่วจ้ายโกว ทะเลสาบยาว เป็นหิมะละลายจากภูเขา มีต้นสนซีดาร์ทั่วภูเขาล้อมรอบทะเลสาบ เมื่อมองจากระยะไกลสะท้อนเป็นทิวทัศน์อันงดงามเปรียบได้กับพระราชวังหยกในชั้นฟ้าที่ด้านข้างของทะเลสาบมีต้นไม้เก่าที่เชื่อว่าเป็นเทพผู้พิทักษ์ทะเลสาบยาวในฤดูหนาวทะเลสาบจะจับตัวแข็งหนาถึง 60 เซนติเมตร
 จิ่วจ้ายโกว มีความสวยงามในแต่ละฤดูจะไม่เหมือนกัน แต่ละฤดูก็จะมีความสวยแต่ละแบบ ในฤดูหนาวธารน้ำจะกลายเป็นน้ำแข็ง ก็สวยไปอีกแบบ ในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีใบไม้ของต้นไม้จะร่วมใจกันเปลี่ยนสีทำให้จิ่วจ้ายโกวมีสีสันสวยงามไปอีกแบบ
ในช่วงเดือนเมษายน จะเป็นปลายฤดูหนาว อากาศจะหนาวเย็น น้ำในทะเลสาบจะเหลือน้อย หิมะเริ่มละลายแล้วน้ำใส เย็นได้ใจ
ในช่วงเดือนพฤษภาคม เป็นการเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิ อากาศเย็นสบาย น้ำในทะเลสาบยังคงมีน้อยอยู่เพราะยังคงมีหิมะปกคลุม ดอกไม้เริ่มผลิบานกันแล้ว
ในช่วงเดือน มิถุนายน ต้นสิงหาคม เริ่มเข้าฤดูร้อน อากาศเป็นแบบอบอุ่น ทะเลสาบเริ่มมีน้ำมากแล้วเพราะหิมะได้ละลายหมดแล้ว เริ่มเหมาะแก่การท่องเที่ยวแล้ว
ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม กันยายน เริ่มต้นฤดูใบไม้เปลี่ยนสี เป็นช่วงที่น่าเที่ยวที่สุดแล้วเพราะน้ำในทะเลสาบสมบูรณ์ที่สุด
ในช่วงเดือน ตุลาคม พฤศจิกายน เป็นช่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสีมากที่สุด และก็น้ำในทะเลสาบสวยที่สุด เหมาะแก่การท่องเที่ยวมากที่สุด
ในช่วงเดือนธันวาคม มีนาคม ฤดูหนาวเข้ามาเยือนแล้วมีหิมะ เหมาะสำหรับท่านที่อยากสัมผัสอากาศหนาวและหิมะ น้ำตกเริ่มมีหิมะเกาะแล้ว
ไม่น่าเชื่อว่า จิ่วจ้ายโกว จะเที่ยวได้ตลอดทั้งเดือน ดูความแตกต่างของแต่ละช่วงฤดูสิว่าแตกต่างกันมากและความสวยงาม ในฤดูหนาวก้อจะเป็นสีขาว ทั้งหมด ปกคลุมด้วยหิมะ ฤดูใบไม้ผลิก็จะเขียวขจี  ส่วนฤดูใบไม้เปลี่ยนสี จะมีสีสันของใบไม้เปลี่ยนสี กระทบกับทะเลสาบทำให้เห็นเป็นสีที่สดใสหลากหลายสี


ขอขอบคุณภาพสวยๆๆๆๆๆ

http://www.tourjoins.com / http://www.pantown.com  / http://www.fwt2003.com


วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2555

อุทยานแห่งชาติหวงหลง




หวงหลงสามารถเที่ยวได้เกือบทั้งปี ยกเว้นฤดูหนาวที่หิมะลงจัด อุทยานแห่งชาตินี้ก็จะปิด ช่วงที่จะไปแล้วสวยที่สุด จะเป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ประมาณเดือน ตุลาคม ซึ่งค่าท่องเที่ยวจะแพงมากถึงจะแพงพวกเราก็จะไปเพราะอยากไปเห็นความงามของหวงหลง  รถพาเรามาถึงปากทางเข้าอุทยานหวงหลง คนขับรถทำหน้าที่รวบรวมเงินจากเราไปซื้อบัตรผ่านประตู (200 หยวน)และตั๋วเคเบิ้ลคาร์ (80 หยวน - ตามความสมัครใจ) ซึ่งไม่มีใครในรถเลือกที่จะเดินไต่ความสูงจาก 3,100 เมตร ไปยังสุดชมวิวสูงสุด 3,600 เมตรกับระยะทางยาว 3.6 กิโลเมตร ซึ่งการเดินบนพื้นราบก็เหนื่อยแล้ว พวกเราเลือกที่จะขึ้นเคเบิ้ลคาร์แล้วเดินตามไหล่เขาไปยังจุดชมวิวด้านบนแล้วค่อยเดินลงมายังปากทางเข้า  แล้วเราออกสตาร์ทจากสถานีเคเบิ้ลคาร์พร้อมผู้โดยสารคนอื่นๆ แต่ก็เริ่มถูกทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆเพราะความเพลิดเพลินกับธรรมชาติสองข้างทาง ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ มอสที่ขึ้นตามพื้นดิน พร้อมแสงแดดรำไรที่ส่องรอดพุ่มไม้มากระทบพื้น ระว่างทางมีจุดชมวิวสระน้ำ สีฟ้าอมเขียวในแอ่งหินปูนที่เขาว่าเมื่อมองจากด้านบนจะเห็นคล้ายเกร็ดมังกรที่ทอดตัวไปตามหุบเขา ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ "หวงหลง" ซึ่งแปลตรงตัวว่า "มังกรเหลือง" เส้นทางสู่หวงหลง ค่อยๆไต่ระดับความสูงไปเรื่อยๆ จากถนนราดยางอย่าง) ที่บรรยากาศข้างทางมีปุยหิมะปกคลุมบางๆ ก็หนาขึ้นเรื่อยๆจนถนนที่รถขับไปปกคลุมด้วยน้ำแข็ง คนขับรถขับอย่างใจเย็นไม่น่าหวาดเสียวแต่พวกเรากลัวจริงๆว่ารถจะพลัดตกหน้าผา แต่เป็นบรรยากาศที่สวยมาก  มีหิมะตลอดเส้นทางขาวไปหมดเลยรถวิ่งผ่านจุดสูงสุดของ
เส้นทางแล้วค่อยๆวิ่งลงเขามาเรื่อยๆ บางช่วงของถนนเห็นฟ้าเริ่มเปิดบ้างเกิดเป็นวิวสวยมหัศจรรย์เลยค่ะ ราวกับเราได้อยู่บนสวรรค์จริงๆทั้งที่เรายังไม่ถึงหวงหลงจริงๆ  ทางที่จะเดินไปที่ทางเมนของหวงหลง เราจะต้องเดินประมาณสองกิโลเมตรได้ แต่ดีนะที่ยังเป็นทางราบทางหลักนั่นเป็นทั้งราบและขั้นบันไดฉะนั้น ต้องเดินอย่างเดียว ใช้รถเข็นก็ไม่ได้และที่สำคัญนะค่ะห้ามป่วยเป็นอะไรขึ้นมาตรงนั้น เพราะจะลำบากมาก  เรามาถึงที่นี้ แน่นอน คือเราจะเดินไปเรื่อยๆๆมันเป็นอะไรที่เหนื่อยเหมือนกัน หัวใจเราเต้นแรง แต่ก็สนุกดีทางเมนก็จะมีม้านั่งอยู่ตลอดทางและตลอดทางขึ้นก็จะมีคนนั่งพักเหนื่อยที่ม้านั่งทุกตัวแต่เราไม่นั่งพักเพราะเรายังเดินไหวอยู่ค่ะ  เราเดินชมธรรมชาติความสวยงามของหวงหลงไปเรื่อยๆๆ นอกจากน้ำใสๆ มีตั้งแต่ไม่มีสีจนไปถึงน้ำเงินและสีที่เกิดจากสิ่งที่อยู่ในสระแล้วรูปร่างของสระก็ยังอะเมซิ่งอีกด้วย ธรรมชาตินี้แปลกจริงๆนะและที่แห่งนี้อยู่ห่างจากจิ่วไจ้โกวไม่มากแต่มีความสวยงามที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยระหว่างเดินก็จะเห็นคนสูดอ๊อกซิเจนกระป๋องกันทั่วเลย บางคนไม่ได้สูดแต่เลือดกำเดาออกแทน โชคดีนะที่ตัวเองไม่เป็นอะไรตอนอยู่ในหวงหลง จุดที่สวยที่สุด คือ บึงห้าสี อยู่บนสุด  สรุปแล้ว ประทับใจในความงามของหวงหลงไม่แพ้จิ่วไจ้โกวเลยค่ะ
ขอขอบคุณภาพสวยๆๆๆๆ


walkridefly.wordpress /  baddoguy.multiply