วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555

แชงกรีล่า เมืองแห่งหลังคาโลก


       
   แชงกรีล่า เมืองแห่งหลังคาโลก

        แชงกรีล่า เมืองแห่งหลังคาโลก สุดขอบประเทศจีน ชายแดนทิเบตที่นี่ที่เดียวที่ทำให้ฉันตัดสินใจไปทริปนี้ เป็นสถานที่ที่ใฝ่ฝันและตั้งใจไว้แล้วว่าวันหนึ่งต้องไปให้ถึง ในที่สุดก็มาทริปนี้แหละค่ะ
มาตามรอยเส้นทางสู่แชงกรีล่ากับการเดินทางของทริปนี้ ผ่านเมืองลี่เจียง เส้นทางจากต้าลี่ไปถึงลี่เจียงนั้น เป็นทางค่อนข้างราบ สองข้างทางวิวสวยมากก ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ทำการเกษตร จริงๆใช้เวลาเดินทางจากต้าลี่เข้าเมืองลี่เจียงประมาณ 5 ชั่วโมงเพราะจุดหมายของฉันคือ แชงกรีล่า

       วันนี้นั่งรถทั้งวันจริงๆ เส้นทางก็ขรุขระ ปีนป่าย ขึ้นเขา วกวน เรียกว่านั่งรถกันจนเหนื่อยเลยทีเดีย แต่
ระหว่างทางไปแชงกรีล่าจะต้องอาศัยคนขับรถที่มีความชำนาญเส้นทางและฝีมือดีมากๆ เพราะเส้นทางเป็นไหล่เขาทั้งนั้น แล้วก็ผ่านวัดหลังนี้ที่ตั้งอยู่บนเขา วิวสวยมากกกก เราเริ่มเห็นวัฒนธรรมแบบทิเบตไปเรื่อยๆทั้งวัดและผู้คนวิวข้างบนสวยมากก แวะที่วัดได้ประมาณ 20 นาที ก่อนจะขึ้นไปแชงกรีล่า หุบเขาเสือกระโจน หนึ่งใจสถานที่ที่ต้องแวะไปค่ะหุบเขาเสือกระโจน โค้งแรกแม่น้ำแยงซีเกียง ที่นี่เริ่มเห็นเทือกเขาหิมะกันแล้ว วิวสวยมากกพอไปถึงหุบเขาเสือกระโจน รู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ พอไปยืนอยู่ตรงหุบเขา รู้สึกเลยว่า มนุษย์นั้นช่างตัวเล็กนัก เมื่อเทียบกับธรรมชาติอันยิ่งใหรู้สึกถึงความอลังการอย่างแรง  ถึงตอนนี้ฉันต้องเริ่มฟิตแล้วค่ะ เพราะฉันต้องเดินขึ้น - ลงบันไดเกือบ 300 กว่าขั้น
(แม่เจ้าจะไหวไหมเนี๊ยะ) ไหวไม่ไหวตอนนี้ฉันก็อยู่ในจุดที่สูงเกือบ 3000 เมตรจากระดับน้ำทะเล ต้องย้ำเตือนตัวเองว่าค่อยๆ เดิน ห้ามวิ่ง หายใจช้าๆ ทำอะไรช้าๆ ไม่งั้นเดี๋ยวจะหายใจไม่ทันเน้อ
        จากนั้นฉันก็มุ่งหน้าสู่แชงกรีล่า ผ่านหุบเขา ต่างๆ มากมาย ใช้ระยะเวลาเดินทางอีกประมาณ 3 ชม. ไปถึงแชงกรีล่าเกือบๆ สองทุ่ม ซึ่งขณะนั้นยังสว่างอยู่เลย สองทุ่มแล้วพระอาทิตย์เพิ่งตกดินเองอ่ะไปถึงโรงแรมแล้ว อากาศหนาวมาก มองอะไรไม่เห็นทั้งสิ้น รู้แต่ว่า หนาว คืนนี้ฉันก็ต้องรีบนอนให้เร็วพราะพรุ่งนี้ต้องเตรียมความพร้อมสำหรับขึ้นภูเขาหิมะ
        ตอนเช้าที่แชงกรีล่าอากาศหนาวมาก  สถานที่แรกในแชงกรีล่าคือวัดโบราณเป็นสถานที่ที่คิดว่าทุกคนคงเคยเห็นมาแล้ว ไม่ว่าจะผ่านรูป เหมือนกันค่ะ เคยเห็นมาบ่อย จนอยากมาเห็นด้วยตาตัวเอง วันนี้ได้เห็นแล้วบ้านเรือนที่ปลูกซ้อนกันบนเขา ล้อมรอบไปด้วยภูเขาหิมะ ดูเก่าแก่ มีมนต์ขลังยังไงไม่รู้บอกไม่ถูกแต่ในสายตาฉันรู้สึกว่ามันสวยมาก ชอบ โดยส่วนตัวเป็นคนหลงใหลในวัฒนธรรมอินเดีย เนปาล ทิเบต ถึงจะไม่ได้ไปถึงทิเบต แต่ที่แชงกรีล่านี่ก็ตอบโจทย์ได้ค่อนข้างมากทีเดียวเนื่องจากที่นี่ถึงแม้จะเป็นประเทศจีน แต่มีผู้คนชนเผ่าทิเบตอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก บ้านเรือน วัด และวัฒนธรรมต่างๆ ของทิเบต เลยเอียงไปทางทิเบตมากกว่าจีนส่วนตัวฉันเดินไปเรื่อยๆ ในที่ที่ไม่ค่อยมีคน
ฉันอยู่ที่วัดนี้เกือบชั่วโมงพยายามถ่ายรูป เก็บไว้ให้มากที่สุดสิ่งหนึ่งที่ค้นพบระหว่างเดินดูบ้านเรือนของคนที่นี่คือพระที่นี่รวยมาก มีรถยนตร์ขับกับเกือบทุกคนและที่นี่นอกจากคนจะดุแล้วหมายังดุด้วยขณะที่ฉันเดินเข้าไปในวัดที่ไม่มีคนเลย ไม่มีนักท่องเที่ยวเดินเข้ามาซักคน เพราะเป็นวัดที่อยู่ด้านหลัง
หลังจากกลับจากวัดโบราณ เราก็ไปต่อที่เมืองโปรานกันค่ะ        

เมืองโบราณที่นี่ก็คล้ายๆ ถนนคนเดินช้อปปิ้งทั่วไปค่ะมีบ้านเรือน บาร์ เกสเฮ้าต์ ร้านขายของต่างๆ มากมาย ของถูกใช้ได้ สำหรับพวกเครื่องหนังแฮนเมดต่างๆมีเวลาแค่ 30 นาที คนใคร่ถ่ายรูปก็ถ่ายรูปไป คนใคร่ช้อปปิ้งก็ช้อปกันพูดกันไม่รู้เรื่อง ก็สามารถต่อราคากันเอาเป็นเอาตายได้
สิ่งหนึ่งที่ฉันสงสัยในวัฒธรรมของชาวทิเบตคือธงสีต่างๆ ที่แขวนไว้ตามบ้านเรือน ในวัด หรือสถูปต่างๆ ที่มีอยู่เกือบทุกที่ในทิเบต หรือที่แชงกรีล่าแห่งนี้ ธงสีพวกนี้มันมีความหมายว่าอะไร ข้องใจมาก ว่า
"ธงมนตรา" เป็นความเชื่อที่ว่ามนตราแห่งธงจะนำสิ่งที่ดีมาในบริเวณใกล้เคียง เปรียบเสมือนเครื่องรางของขลัง

การแขวนธงมนตรานั้นจะมีการเปลี่ยนใหม่ในทุกๆปี ในวันปีใหม่ตามปฏิทินของชาวทิเบต ธงมนตราผืนเก่าจะถูกเผา เนื่องจากความเชื่อที่ว่าธงมนตรานั้นเป็นของศักดิ์สิทธิ์บนผืนธงนั้นเป็นสัญลักษณืของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่สมควรที่จะทิ้งตามพื้นหรือเอาไปทำอย่างอื่นอย่างใด ดังนั้นเวลาเปลี่ยนธงมนตราในแต่ละครั้งธงผืนเก่าจะถูกเผาทั้งหมด ส่วนธงผืนใหม่นั้นจะถูกแขวนแทนที่ การแขวนธงมนตรานั้นต้องดูฤกษ์ดูยามให้ดีและเหมาะสมด้วย หากแขวนในวันที่ฤกษ์ไม่ดีแล้ว ธงนั้นจะส่งผลไปในทางที่ไม่ดีให้กับผู้แขวนเช่นกัน
ชาวทิเบตเชื่อว่าเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการแขวนธงมนตรานั้น คือในช่วงเช้าที่พระอาทิตย์สาดส่องอ่อนๆ ลมพัดไม่แรงคือพัดเอื่อยๆกำลังดี ท้องฟ้าสดใส ชาวทิเบตเชื่อว่าธงมนตรานั้นจะแสดงอิทธิฤทธิ์ของมนตราเมื่อลมพัดกระทบกับธงและธงพัดสะบัดไปตามลม มนตราที่อยู่บนผืนธงจะแสดงอิทธิฤทธิ์ปกป้องคุ้มครองจากภัยอันตรายและสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายให้เลยพ้นไป และในขณะเดียวกันจะเป็นการแผ่บุญกุศลไปให้กับวิญญาณและสรรพสัตว์
ธงมนตรานั้นจะมีด้วยกัน 2 ประเภท คือ แบบตั้งตรง เรียกว่า ลังตา และแบบแขวนยาวเรียกว่า
ดาร์โฌ่ช์ คำว่า ดาร์โฌ่ช์  ในภาษาทิเบตนั้นมีความหมายที่ดีทั้งสองคำ คำว่า ดาร์ หมายถึง การต่อชีวิต หรือมีชีวิตที่ยืนยาว โชคลาภ สุขภาพที่ดี ส่วนคำว่าโฌ่ช์ นั้นมีความหมายว่า การดำเนินชีวิตที่เป็นไปอย่างราบรื่นไร้อุปสรรค
ธงมนตรานั้นจะมีด้วยกัน 5 สี แต่ละสีนั้นเป็นเสมือนตัวแทนของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ และธาตุทั้ง 5 ตามความเชื่อ การแขวนธงมนตราจะเริ่มต้นด้วย สีเหลือง สีเขียว สีแดง สีขาว และ ท้ายสุดคือสีน้ำเงิน
สีแดง เป็นตัวแทนของ Amitabha Buddha และธาตุไฟ
สีน้ำเงิน เป็นตัวแทนของ Akshobhya Buddha และธาตุจักวาล
สีเขียว เป็นตัวแทน Amoghasiddhi Buddha  ธาตุอากาศ และลม
สีเหลือง เป็นตัวแทนของ Vairojana Buddha และธาตุดิน
สีขาว เป็นตัวแทนของ Ratna Sambhava Buddha และธาตุน้ำ
     ในสมัยก่อนการพิมพ์รูป คำสวดต่างๆ ลงบนธงสี่เหลี่ยมนี้นิยมใช้บล๊อคไม้แกะเป็นลาย แต่ในปัจจุบันส่วนมากนิยมใช้เครื่องพิมพ์แล้ว  ในผืนธงมนตราจะมีการพิมพ์รูปม้าแบก สัญลักษณ์ของศาสนาพุทธไว้สามสิ่ง ส่วนบริเวณด้านมุมทั้งสี่มุมจะมีรูป ครุฑ มังกร เสือ และสิงโตหิมะ สัตว์ทั้งสี่นี้เป็นเป็นสัตว์ที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสัญลักษณ์ของความโชคดีทั้งสี่คือ ความรู้แจ้ง พลัง การหลุดพ้น และความกล้าหาญ น่าเกรงขาม    หลายคำสวดจะถูกพิมพ์ลงบนผืนธงเดียวกัน รวมถึงคำสวดอ้อนวอนขอความเมตราจากพระโพธิสัตว์ ดาราเขียว คือ โอม ตารา ตู ตารา ตูเร โชฮา และคำสวดบูชาพระโพธิสัตว์ อวโรกิเตศวร โอม มณี เปดทะเม ฮูม เสมอไป   ไม่มีใครทราบว่าธงมนตรานี้ได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาใด เพราะในศาสนาพุทธไม่มีจารึกเกี่ยวกับเรื่องธงมนตรานี้เลย อาจเป็นไปได้ว่าธงมนตรานี้ได้รับอิทธิพลจากศาสนาเก่าของชาวทิเบตคือศาสนา บอน ศาสนาแรกที่ชาวทิเบตนับถือก่อนที่จะมานับถือศาสนาพุทธ
     ตามวัดของทิเบตจะไม่มีที่ฝังศพ เพราะคนทิเบตมีวิธีจัดการกับศพอยู่สองแบบคือ
1 ถ้าคนมีฐานะ เมื่อตายลงไป จะโดนสับร่างกายเป็นชิ้นๆ แล้วโยนให้กากิน เพราะเชื่อว่ากาที่กินซากศพนั้นจะพาศพขึ้นสวรรค์
2. ถ้าคนฐานะระดับล่าง ก็จะหั่นศพแล้วนำไปโยนลงแม่น้ำเอ่อ อันไหนโหดร้ายกว่ากัน
     ทำไมตอนขึ้นไปแชงกรีล่ารู้สึกว่านั่งรถนานมากก และมันไกลมากกกว่าจะไปถึงแต่ทำไมขากลับมันลงมารวดเร็ว  ประทับใจกับแชงกรีล่าแล้วละซิเรา
ขอบคุณข้อมูลและภาพสวยๆๆๆ

http://janjow.exteen.com
http://www.meetaweetour.co.th