วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เที่ยวเมืองแห่งสวยงาม ซูโจว


ซูโจว


          เมืองซูโจว มีชื่อเดิมว่า "เมืองกู่ซู" เมืองซูโจวเป็นเมืองที่มีความสวยงามไม่น้อยกว่าเมืองหังโจว ที่มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 2,500 ปี และได้รับสมญานามว่า “เมืองแห่งสาวงาม ” ซึ่งอดีตในแถบนี้ได้ชื่อว่า “เจียงหนาน” อุดมไปด้วยพืชพรรณธัญญาหารและสาวเจียงหนานที่มีความสวยงามเป็นเลิศ เป็นสถานที่ที่มีสวนคลองต่างๆมากมาย เป็นอันดับหนึ่งในลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียงตอนใต้และได้ชื่อวาเป็นเมืองแห่งสาวงามอีกทั้งเป็นเมืองที่งดงามมากจนได้รับฉายาว่า “เมืองสวรรค์ในโลกมนุษย์” สิ่งก่อสร้างต่างๆมากมายแบบจีนในเมืองซูโจว มณฑลเจียงซู ประเทศจีน  เมืองซูโจว ได้ขึ้นเป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ.2540
สุดยอดสวนโบราณซูโจวที่เลื่องชื่อและเป็นมรดกโลก ได้แก่
        
  1.สวนจัวเจิ้ง เป็นสวนที่สร้างในสมัยราชวงศ์หมิง รัชกาลเจิงเต๋อ ปีที่ 4 ตรงกับค.ศ.1509 มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของสวนโบราณทั้งหมดในเมืองซูโจว ถึง 51,590 ตรม. โดดเด่นในด้านภูมิทัศน์ทางน้ำซึ่งกินพื้นที่ถึง 3 ใน 4 ของพื้นที่ทั้งหมด โชว์ศิลปะการไหลเวียนตามธรรมชาติ ที่เรียบง่ายแบบคลาสิคสมัยหมิง นอกจากนี้ ยังตบแต่งประดับประดาด้วยโคลงคู่และภาพวาดพู่กันจีน เนื่องจากมีศิลปินกวีแห่งเจียงหนันร่วมในการออกแบบ
          
2.สวนหลิว สร้างในสมัยราชวงศ์หมิงเช่นกัน แต่หลังสวนจัวเจิ้ง 80 กว่าปี ในรัชสมัยวั่นลี่ ปีที่ 21 (ค.ศ.1593) มีพื้นที่ 23,310 ตรม. ในอดีตมีชื่อว่า ‘สวนตะวันออก’ เป็นสวนศิลปะเจียงหนันขนานแท้ โดดเด่นด้านการจัดวางและช่องว่าง มีการโชว์ลูกเล่นของลักษณะความแตกต่างทางสถาปัตยกรรรมที่สร้างมุมมองระดับต่างๆได้อย่างงดงามลงตัว ที่มีทั้งโครงสร้างสถาปัตยกรรมแบบยาว-สั้น สูง-ต่ำ ใหญ่-เล็ก หรือที่นำสายตาด้วยเส้นโค้ง-ตรง หรือขยาย-ย่อสัดส่วนพื้นที่ ตลอดจนการเล่นแสงเงา มืด-สว่างตามมุมต่างๆของอาคาร เป็นต้น
         
3.สวนหวั่งซือ สร้างในสมัยซ่งใต ้(คศ.1127-1279) บูรณะใหม่ในรัชสมัยเฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิง (คศ.1736-1796) สวนหวั่งซือ พื้นที่ 5,400 ตรม. ขนาดเล็กเพียง 1 ใน 6 ของสวนจัวเจิ้ง เป็นสวนในที่พักอาศัยแบบคลาสิคของเจียงหนัน แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ด้านตะวันออกเป็นเรือนพักอาศัย ด้านตะวันตกเป็นสวน ใจกลางมีสระน้ำขนาด 440 ตรม. พร้อมด้วยระเบียงทางเดิน เก๋งจีน ศาลาริมน้ำอยู่ภายในสวน เฟอร์นิเจอร์และโคมไฟที่ประดับภายในอาคาร ก็เป็นศิลปะยุคราชวงศ์หมิง
            
4.สวนชางลั่งถิง หรือ สวนพลับพลา เกลียวคลื่น เป็นสวนเก่าแก่ที่สุดในจำนวนสวนโบราณซูโจวทั้งหมด ชื่อของ 'ชางลั่งถิง' หรือพลับพลาเกลียวคลื่น ปรากฏขึ้นครั้งแรกในศิลาจารึกแผนที่เมืองผิงเจียง (ซูโจว ค.ศ.1229) สมัยราชวงศ์ซ่ง และยังมีบันทึกการเอ่ยชื่อ ‘พลับพลาชางลั่งถิง’ โดยกวีในสมัยเดียวกันด้วย
           
5.สวนซือจึหลิน หรือ สวนป่าสิงโต  เด่นด้านภูเขาจำลองและหินรูปสิงโต ที่มาของชื่อสวน สวนป่าซือจึหลิน มีพื้นที่ 1,152 ตรม. เป็นสวนสมัยศตวรรษที่ 14 ส่วนที่โดดเด่นที่สุดของสวนแห่งนี้คือ ภูเขาหินจำลองที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์ และสิ่งปลูกสร้างรอบๆทะเลสาบ รวมถึงน้ำตกและหน้าผาจำลองริมทะเลสาบ ยังมีการสร้างเขาวงกต ที่ประกอบด้วยถ้ำ ทางเดิน และปลูกต้นไซปรัสและสนโบราณ
ดิฉันจะเดินทางสู่เมืองซูโจวซึ่งเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อว่ามีคลองมากมาย เป็นเวนิสตะวันออกของจีน ลักษณะเมืองจะพยายามอนุรักษ์หรือไม่งั้นก็สร้างสิ่งก่อสร้างเลียนแบบของโบราณ เช่นพวกเก๋งจีน กำแพงเก่าๆ
ดิฉันแวะพักทานอาหารเที่ยงซึ่งไม่ค่อยมีอะไรอร่อยเท่าไหร่ จะออกมันๆ ซะมากสภาพบ้านเมืองที่นี่ดูเป็นธรรมชาติและเงียบสงบกว่าหังโจว นั่งรถไปก็จะเห็นคลองมากมาย คลองที่นี้ขนาดก็กว้างขวางมาก ว่ากันว่าสมัยโบราณฮ่องเต้สั่งให้คนขุดขึ้นมาเพื่อใช้ลำเลียงสินค้าไปส่งยังเมืองหลวง
ดิฉันเดินทางไปวัดซีหยวน ซึ่งรอบๆ วัดจะมีต้นแป๊ะก้วยสีเหลืองอร่าม ต้นแป๊ะก้วยจะมีสองเพศคือ ตัวผู้กับตัวเมีย ต้องปลูกไว้คู่กัน ไม่งั้นจะไม่มีลูก คนจีนไม่ค่อยรับประทานแป๊ะก้วยแต่จะส่งออกไปขายมากกว่าภายในวัดมีจุดเด่นคือ พระอรหันต์ 500 รูป ว่ากันว่าถ้าจะนับว่ามีครบต้องนับจนได้ถึง 500 จะลองนับครึ่งๆ กลางๆ ไม่ได้จะทำอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ มีการทำนายดวงชะตาด้วย ผู้ชายให้วนจากด้านซ้าย ผู้หญิงให้วนจากด้านขวา นับไปเรื่อยๆ โดยนับตามอายุบวกหนึ่ง จนถึงพระองค์ใด ให้ดูเลขกำกับ แล้วมาหยิบคำทำนาย นอกจากนั้นยังมีเจ้าแม่กวนอิมพันมือพันตา จี้ก้ง ทวารบาลทั้งสี่ซึ่งหน้าตาน่ากลัวมากบรรยากาศภายในวัดดูสงบร่มรื่นดี อันที่จริงเราน่าจะได้เดินดูอะไรมากกว่านี้ เพราะดูจากแผนที่แล้วเหลืออีกหลายศาลาที่ดิฉันยังไม่ได้เข้าไปเลยแต่เวลากระชั้นมาก ทำให้ดิฉันต้องออกเดินทางต่อไปสวนหลิวหยวน ซึ่งเป็นมรดกโลก และเป็นหนึ่งในสี่ของสวนสวยของเมืองจีน ใช้เวลาก่อสร้างกว่า 40 ปี ภายในจัดแบ่งเป็นโซนๆ มีทั้งห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น สวนแบบต่างๆ สระน้ำ มีพันธุ์ไม้หลากหลาย จุดเด่นคือ หินสวยงามรูปหงส์ ซึ่งติดอันดับความสวยงามหนึ่งในสี่ของประเทศจีน มีหินอ่อนที่มีลายแปลกๆ ซึ่งเกิดจากธรรมชาติ มองไปเหมือนรูปวิวทิวทัศน์

ขอบคุณข้อมูลและภาพสวยๆ
http://thai.cri.cn
http://www.tourtooktee.com

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

เมืองโบราณจงเตี้ยน



เดินทางออกจากลี่เจียง ณ จุดโค้งแรกแม่น้ำแยงซี มาจนเข้าเขตชายขอบที่ราบสูงธิเบต ในเขตที่เรียกว่า "เขตปกครองตนเองชนชาติธิเบตแห่งตี๋ชิง"  ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองจงเตี้ยน ภูมิประเทศส่วนนี้เป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ พลเมืองส่วนใหญ่เป็นชนชาติธิเบต เขตจังหวัดตี๋ชิงนี้อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือสุดของมณฑลยูนนาน ติดที่ราบสูงธิเบต และเป็นรอยต่อกับมณฑลเสฉวน
ดิฉันอยู่ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล ๓๓๐๐ เมตร อาการ ส่งผลค่อนข้างชัด มีตั้งแต่เวียนศีรษะ คลื่นไส้ ผะอืดผะอม คำว่า"จง" นั้นหมายถึงศูนย์กลาง หรือ สิ่งที่กว้างใหญ่อันเป็นศูนย์กลาง ส่วน"เตี้ยน" นอกจากจะแปลว่าทุ่งหญ้า แล้ว ยังอาจแปลว่า อาณาจักร ได้ด้วย
ความที่ดินแดนที่ราบสูงธิเบตมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรล้ำค่าจากธรรมชาติ แต่เข้าถึงยาก ทำให้เป็นเหมือนดินแดนต้องห้าม และประตูแห่งจงเตี้ยนยังปิดตายจากสายตาโลกภายนอกตลอดช่วงที่จีนเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์ตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๔๙๒ ซึ่งก็เป็นธรรมดาของมนุษย์ที่อะไรที่เขาห้ามเนี่ย ดูช่างท้าทายให้ค้นหา ประจักษ์แก่สายตาตนเองให้ได้
จากนั้นใครๆก็พากันเสาะหาว่าดินแดนจุดใดของที่ราบสูงธิเบตที่เป็นแรงบันดาลใจให้เจมส์ ฮิลตัน เขียนนิยายเรื่องนี้ เจ้าหน้าที่จีนในยุค Visit China Year จึงไม่รีรอที่จะโหนกระแสนี้และระบุหลายจุดทีเดียวที่ถูกกล่าวอ้างว่าเป็นเมืองแมนแดนสวรรค์ แน่นอนที่"จงเตี้ยน" ก็เป็นหนึ่งในนั้น
ในปีพ.ศ. ๒๕๔๕ รัฐบาลจีนได้เปลี่ยนชื่อ เมืองจงเตี้ยน ( จากเดิมที่มีชื่อในภาษาธิเบตว่า เจี้ยนถัง)เป็น "แชงกริ-ล่า" ให้ชัดๆเป็นทางการซะเลยแน่ะ แต่ภาษาจีนเขาออกเสียงว่า "เซียงเกอ หลี ลา" แปลว่า ที่ซึ่งสุริยันจันทราประทับในดวงจิตนี่ยังไม่ได้เข้าในเมืองจงเตี้ยน ที่เห็นแต่ไกลเป็นจุดสีทองคือ
วัดธิเบต "ซงจ้านหลิน" ที่ดิฉันจะแวะก่อน มองแต่ไกลงามสง่าละม้ายคล้าย พระราชวังโปตาลา ที่กรุงลาซา ของธิเบตวัดนี้สร้างในสมัยทะไลลามะองค์ที่ ๕ ด้วยศิลปะสถาปัตยกรรมอันอลังการน้องๆพระราชวังโปตาลา เลยได้อีกสมญาว่า Little Potala 
วัดนี้เขาพามาชมเพราะเป็นวัดนิกายลามะแบบธิเบตที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลยูนนาน อายุเก่าแก่กว่า ๓๐๐ ปี กว่าจะไต่บันไดขึ้นไปนมัสการ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรได้ก็พักไปเป็นระยะ เขาให้ทำอะไรช้าๆ ไหว้เสร็จออกมานั่งพักมองดูพระวัยรุ่นห่มจีวรสีออกแดงน้ำตาล ใส่รองเท้าผ้าใบไนกี้ เดินกันจีวรปลิว
ออกจากวัดจึงเข้าสู่ตัวเมืองจงเตี้ยนแม้ผู้คนที่เราพบเห็นจะยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นมิตรมาก เสื้อผ้าแบบพื้นเมืองธิเบตประยุกต์เข้ากับกางเกงยีนส์และบูทสูง แต่ตัวเมืองจงเตี้ยนนั้นช่างไร้เสน่ห์แห่งธิเบตอย่างสิ้นเชิง เห็นแต่ตึกแถวแท่งๆแบบจีนๆ ไม่มีวิสัยทัศน์เรื่องความงาม คุณธีรภาพ โลหิตกุลใช้คำ"สถาปัตยกรรมที่ดูไร้รสนิยม" เพราะฉะนั้นความงามของแชงกริ-ล่า จึงไม่ได้อยู่ในตัวเมืองจงเตี้ยนแน่นอน นักท่องเที่ยวฝรั่งมักมาที่จงเตี้ยนเพื่อเป็นจุดเดินทางต่อไปยังธิเบตโดยเครื่องบิน

อย่างไรก็ตามที่นี่เขาก็มี"เมืองโบราณจงเตี้ยน" ที่รัฐบาลจีนบูรณะให้งดงามจากการมองเห็นความสำเร็จของ"เมืองโบราณต้าหยัน" ที่ลี่เจียง แต่เป็นการพยามสร้างขึ้นใหม่ในแบบโบราณ ของเก่าเหลือแค่บ้านชาวธิเบตที่อายุ ๔๐๐ ปี หลังเดียวที่รอดจากน้ำมือพวกเรดการ์ด ในสมัยปฏิวัติวัฒนธรรม  ที่รอดมาได้ก็เพราะพวกเรดการ์ดใช้เป็นที่พักแวะเดินชมเมืองโบราณ(ปลอมๆ) แล้วก็พากันเดินลึกเข้าไปถึง วัดต้าฝอ อยู่บนเนินเขาใจกลางเมืองโบราณจงเตี้ยน  "กงล้อมนตราทองคำ" ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก น้ำหนัก ๖๐ ตัน สูง ๑๙ เมตร จารึกบทสวดมนต์ ๑๒,๔๐๐ ล้าน ตัวอักษรตามความเชื่อของพุทธศาสนานิกายมหายานตันตระแบบธิเบตนี้ เขาบอกว่าการหมุนกงล้อที่เป็นแท่งเหล็กจารึกบทสวดมนต์นี้เปรียบเสมือนได้สวดมนต์โดยไม่ต้องสวดเอง ใช้วิธีลัดก็ได้บุญ ดังไปถึงสวรรค์นั่นแน่ะนี่กงล้อมนตราแบบธรรมดา และนี่กงล้อมนตราที่ใหญ่ที่สุดในโลก ให้เปรียบเทียบกันดูเขามีแกนให้จับแล้วช่วยกันหมุน

วันรุ่งขึ้นบินกลับลงไปที่คุนหมิง เพื่อต่อเครื่องกลับกรุงเทพ ลงมาที่ต่ำแค่ ๑๘๐๐ เมตรจากระดับน้ำทะเล สมกับที่ชื่อว่า "เมืองที่มีฤดูใบไม้ผลิตลอดปี" ความเจริญของคุนหมิงนั้นน่าทึ่ง และมีคนบอกว่าอสังหาริมทรัพย์แพงกว่ากรุงเทพเสียอีก
ขอบคุณข้อมูลและภาพสวยๆๆ

http://www.mickotravel.com
http://abroadtour.com

เขาเซียงซาน


     
     เขาเซียงซาน  เป็นอีกสถานที่ที่คุณควรเพิ่มไว้ในโปรแกรมการท่องเที่ยวของคุณ ด้วยตำแหน่งที่ตั้งที่อยู่ห่างจากตัวเมืองปักกิ่ง ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ 20 กิโลเมตร จึงไม่ใช่เรื่องยากในการเดินทางไปเขาเซียงซาน

      ภูเขาแห่งนี้มีความสำคัญและโด่งดังก็เนื่องมาจาก ความเป็นสถานที่พักผ่อนของจักรพรรดิจีนตั้งแต่ราชวงศ์ จิน หยวน หมิง จนมาถึงราชวงศ์หลังสุดคือ ชิง โดยในรัชสมัยของ เฉียนหลงฮ่องเต้ การก่อสร้างพระตำหนักและเก๋ง เพื่อชมทิวทัศน์ขององค์จักรพรรดิ ได้ขับให้ภูเขาแห่งนี้ให้มีความงดงามยิ่งขึ้นไปอีก ทั้งนี้ ช่วงเวลาของการชมใบไม้แดงแบบสมบูรณ์ที่เซียงซาน ในแต่ละปีนั้นนับว่าสั้นมาก คืออยู่ที่ราว 2-3 สัปดาห์ ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวก็ขึ้นอยู่กับว่าอากาศในแต่ละปีเป็นเช่นไร ความไม่แน่นอนดังกล่าวทำให้ นักท่องเที่ยวหลายคนผิดหวัง บ้างไปเร็วเกินก็มีโอกาสเพียงได้เห็นใบไม้แดงตัดกับใบไม้เหลือง-เขียวเล็กน้อย แต่หากไปช้าก็ถือว่าเสียเที่ยว เพราะจะเหลือแค่กิ่งไม้แห้งๆ ไว้ให้ชมแค่นั้น

      เกือบทุกปีที่เซียงซาน ในช่วงเวลาที่ใบไม้แดงนี้จะมี เทศกาลใบไม้แดง ซึ่งนักท่องเที่ยวนอกจากจะได้ชมใบไม้แดงแล้ว ยังมีโอกาสได้เดินเล่นตามถนนขึ้นสู่ประตูทางเข้า โดยตลอดสองข้างทางนั้น มีการขายของที่ระลึก อาหาร ขนมเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น สายไหม เนื้อแพะ-นกกระจอกทอด ปอเปี๊ยะ
(ชุนจ่วนร์) มันเผา ข้าวโพดปิ้ง นอกจากนี้ยังเพิ่มสีสันด้วย ศิลปินริมทางที่มาตั้งเก้าอี้รับจ้างวาดรูปเหมือนมากมายหลายเจ้า ในช่วงสุดสัปดาห์ที่นี่จะพลุกพล่านไปด้วยผู้คนนับพันนับหมื่นคนที่ต่างหลั่งไหล มาจากทุกสารทิศ หากชอบความสงบแล้วควรหลีกเลี่ยงช่วงวันหยุดและเดินทางมาในวันธรรมดาจะดีกว่า ระหว่างเดินขึ้นเขา ถ้าหากพอมีเวลา อาจจะแวะเวียนไปที่

วัดเก่าแก่ชื่อ วัดเมฆหยก (ปี้หยุนซื่อ) ศาสนสถานที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หยวน บนเขาเซียงซานจะมีจุดชมทิวทัศน์ที่สูงที่สุดชื่อ เซียงหลูเฟิง ซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเล 557 เมตร
      ในการขึ้นเขาเซียงซาน คุณเลือกที่จะเดินขึ้นก็ได้ หรือถ้าชอบสบายก็นั่งกระเช้าขึ้นไปก็ได้ ตลอดทางขึ้นเขาเซียงซานหากมองลงมายังทิวทัศน์เบื่องล่างก็จะเห็นเทือกเขาสลับสี ที่งดงามมาก อัตราค่าเข้าชม: 10 หยวน
ขอบคุณข้อมูลและภาพสวยๆๆ
http://travel.thaiza.com/detail

เที่ยวเมืองอู๋ซี......เซี่ยงไฮ้น้อย


     
     วันนี้ ดิฉันจะเดินทางออกจากนครเซี่ยงไฮ้ ไปทางทิศตะวันตกประมาณ 128 กิโลเมตร เพื่อไปเที่ยว  ชม อู๋ซี เมืองเก่าที่งดงามแห่งหนึ่งของมณฑลเจียงซูค่ะ
     อู๋ซี  มีประวัติมากกว่า 3,000 ปี เป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ เพราะอยู่ริมทะเลสาบไท่หู ที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ติดต่อกับสองมณฑล คือมณฑลเจ้อเจียงและมณฑลเจียงซู เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของจีน มีการเพาะเลี้ยงไข่มุกน้ำจืดที่ขึ้นชื่อของประเทศจีน มีทิวทัศน์สวยงามที่สุดในตอนใต้ของแม่น้ำแยงซี จัดเป็นเมืองท่องเที่ยว 10 อันดับแรกของจีน แต่ละปีรองรับนักท่องเที่ยวหลายสิบล้านคน การวางผังเมืองอู๋ซีเป็นไปตามลักษณะของเมืองยุคเก่าของจีนอีกหลายเมือง คือมีลักษณะเป็นรูปวงกลม ภายในเมืองมีคลองเก่าหลายสายตัดไขว้กันไปมา ปัจจุบันคลองสายหลักยังเป็นเส้นทางสัญจรของเรือขนาดใหญ่
     หลี่หู   เป็นทะเลสาบอีกแห่งหนึ่งในเมืองอู๋ซี มีอีกชื่อหนึ่งว่า ทะเลสาบอู่หลี่ เนื่องจากยุคสมัยชุนชิวและจ้านกั๋วของจีน นายฟ่านหลี่ บุคคลชื่อดังในสมัยนั้นเคยล่องเรือกับหญิงงามนามไซซีในทะเลสาบแห่งนี้ จึงได้ชื่อว่า "หลี่หู" ริมทะเลสาบนี้มีทิวทัศน์หลายสิบแห่งเป็นสวนสาธารณะที่เปิดให้บริการฟรีต่อประชาชน นับเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่ดี ยามพลบค่ำ ชาวเมืองและนักท่องเที่ยวมักจะชอบมาเดินเล่นตามทะเลสาบ ท่ามกลางแสงไฟหลากสี และลมพัดเย็นสบาย ทำให้รู้สึกสดชื่นมาก คุณจ้าวเป็นชาวเมืองอู๋ซีที่พักอยู่บริเวณใกล้ทะเลสาบแห่งนี้ เธอกล่าวว่า ทะเลสาบหลี่หูในเวลากลางคืนมีเสน่ห์มาก"ทะเลสาบหลี่หูมีทิวทัศน์ที่สวยงามมากอยู่แล้ว แสงไฟยิ่งเพิ่มสีสันและความงามให้ ถ้าไปนั่งชิงช้าสวรรค์ชมวิว ยิ่งดูสวยงามมากทีเดียวค่ะ"ทิวทัศน์ยามราตรีของที่นี่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างท้องถิ่นด้วย คุณจางมาจากนครเซี่ยงไฮ้กล่าวว่า"กลางคืนมาที่นี่ วิวสวย อากาศก็เย็นสบาย เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่ดี เมื่อรับประทานอาหารเย็นเสร็จ ก็อยากจะมาเดินเล่นแถวนี้


การไปเที่ยวกลางคืน ต้องไม่ควรพลาดการชิมอาหารพื้นเมือง ถนนชิงสือเป็นตลาดอาหารพื้นเมืองที่มีชื่อเสียงของเมืองนี้ สร้างขึ้นเมื่อเดือนกรกฏาคมปี 2000 สองข้างทางเป็นสถาปัตยกรรมแบบยุโรป ด้วยการพัฒนาเป็นเวลาหลายปี ได้กลายเป็นแหล่งดึงดูดใจทั้งชาวเมืองอู๋ซีและนักท่องเที่ยวจากต่างท้องถิ่นด้วย บนถนนสายนี้ มีอาหารมากมายหลายประเภท มีทั้งจำพวกปิ้งย่าง สุกี้หม้อไฟ อาหารเสฉวน อาหารหูหนาน และอาหารพื้นเมืองต่างๆด้วย นับเป็นแหล่งรวมอาหารพื้นเมืองรสชาติดีของจีนแห่งหนึ่ง ชาวเมืองอู๋ซีรู้จักถนนชิงสือกันเกือบทุกคน ส่วนนักท่องเที่ยวต่างถิ่นไปเมืองอู๋ซีแล้วก็ต้องแวะไปที่ถนนสายนี้ กล่าวได้ว่า การพัฒนาของถนนชิงสือได้ผลักดันการพัฒนากิจการท่องเที่ยวและธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในยามราตรีของเมืองนี้

หากนักท่องเที่ยวสนใจอาหารพื้นเมืองขนานแท้ของเมืองอู๋ซี ก็เชิญไปตลาดอาหารที่ตั้งอยู่ถนนเป่ยถางต้าเจีย ซึ่งตั้งอยู่ริมคลองโบราณอายุพันปี ยาว 680 เมตร สองข้างถนนมีแผงขายอาหาร กว่า 120 แผง มีอาหารสารพัดอย่างคอยรองรับนักชิมทั้งหลาย

หากอยากจะไปช็อปปิ้งกลางคืน ต้องไปถนนจงซาน ซึ่งเป็นย่านการค้าที่มีมูลค่าการจัดจำหน่ายอยู่อันดับที่ 7 ของทั่วประเทศจีน และเป็นแหล่งช็อปปิ้งที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของชาวเมืองอู๋ซี ถนนจงซานในตอนกลางคืนไม่จอแจเหมือนตอนกลางวัน ถนนคนเดินที่กว้างใหญ่ ดอกไม้ใบหญ้า รวมทั้งแสงไฟหลากสีสันที่อยู่สองข้างทางตกแต่งให้ถนนสายนี้ แลดูสวยงามยิ่ง กล่าวสำหรับชาวเมืองอู๋ซีแล้ว ไปถนนจงซาน ทั้งได้พักผ่อนหย่อนใจและหาซื้อสินค้าที่ตนเองชอบได้ด้วย"ที่นี่เป็นย่านการค้าที่คึกคักที่สุดของเมืองอู๋ซี มีสินค้าสารพัดอย่าง มากกว่าในห้างสรรพสินค้าเสียอีก แถมต่อรองราคาได้"นอกจากร้านค้าเล็กๆแล้ว ถนนจงซานยังมีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่หลายแห่งตั้งอยู่ ถ้านักช็อปทั้งหลายไปถึงแล้ว จะชอบใจมากเลยทีเดียว

จริงๆแล้ว ไปเที่ยวเมืองอู๋ซีในเวลากลางคืน ยังมีอีกหลายจุดที่น่าสนใจ อย่างเช่น จตุรัสไท่หู วัดขงอาน วัดหนานฉัน ถนนบาร์เบียร์หูปิง เป็นต้น ถ้ามีโอกาส เชิญไปท่องราตรีที่เมืองอู๋ซีนะคะ
ขอบคุณข้อมูลและภาพสวยๆค่ะ
http://www.oknation.net

วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2555

ภูเขาหิมะมังกรหยก



        
ภูเขาหิมะมังกรหยก หรือ อวี้หลงเซี่ยซาน ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเก่าลี่เจียง เป็นภูเขาสูงที่ตั้งตระหง่าน ซึ่งมีหิมะปกคลุมอยู่ตลอดทั้งปี ทิวเขาแห่งนี้ประกอบไปด้วยสภาพแวดล้อมต่างๆ ทั้งหุบห้วย ธารน้ำ แนวผา และทุ่งหญ้าน่าซี ทิวเขาแห่งนี้เมื่อมองจากระยะไกล จะเห็นเป็นลักษณะคล้ายมังกรกำลังเลื้อย สีขาวของหิมะที่ปกคลุมอยู่นั้นดูราวกับหยกขาว ที่ตัดกับสีน้ำเงินของท้องฟ้า คล้ายมังกรขาวบนฟากฟ้า ทิวเขาแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า ภูเขาหิมะมังกรหยก 

      สามารถนั่งกระเช้าไฟฟ้า ขึ้นสู่จุดชมวิวบนยอดเขาที่ความสูงกว่า 3,356 เมตร และสูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 4,506 เมตร เพื่อชมวิวทิวทัศน์และธรรมชาติบนจุดที่สวยงามที่สุด ตลอดสองข้างทางที่ขึ้นยอดเขา ชื่นชมและดื่มด่ำกับความหนาวเย็นของธรรมชาติ อีกทั้งภูเขาหิมะมังกรหยกแห่งนี้ ยังเป็นที่มาของตำนาน ชนเผ่าน่าซี ที่อาศัยอยู่ในเขตที่ราบแถบนี้มานานนับพันปี ทิวเขาแห่งนี้มีพันธุ์พืชปกคลุมอย่างหนาแน่น ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้ป่าจะผลิบานมีสีสันตระการตา ผู้คนจะพากันต้อนสัตว์เลี้ยง พวก แพะ แกะ และจามรีเพื่ออกมากินหญ้า
   
   
ฉันได้ไปดูหิมะสวยๆ บนเขาหิมะมังกรหยกหรือ Yulong Mountain ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองลี่เจียงออกไปประมาณ 40 กิโลเมตร โดยการว่าจ้างแท๊กซี่ให้ไปส่งยังจุดที่ขึ้นรถบัส ซึ่งจะต่อไปยังจุดที่จะขึ้นเคเบิลคาร์ ซึ่งจะอยู่ที่ระดับ 3,300 เมตรจากระดับน้ำทะเล ที่นั่นมีนักท่องเที่ยวเยอะมากรอขึ้นเคเบิลคาร์ จุดที่เคเบิลคาร์ไปส่ง จะเป็นระดับที่สูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 4,500 เมตร ซึ่งอากาศจะหนาวมากๆๆ เห็นลานหิมะเต็มไปหมด มีทางเดินสำหรับให้เดินขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์ ในระดับความสูงที่มากขึ้น ระหว่างที่เดิน ฉันรู้สึกหายใจขัดๆเล็กน้อย ต้องค่อยๆเดินค่ะ เพราะอากาศที่นั่นค่อนข้างเบาบาง ฉันได้ไปชมสวนสระมังกรดำ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองลี่เจียง ในนั้นจะเป็นสวนที่มีสระขนาดใหญ่ บรรยากาศผ่อนคลาย มีภาพของภูเขาหิมะมังกรหยกอยู่เบื้องหลัง สวยงามมากจนทำให้นึกไปถึงภาพวาดพู่กันแบบจีนที่จะเห็นเป็นภาพของสวน เก๋งจีน สระน้ำ สะพานหิน รายล้อมด้วยภูเขาสูงใหญ่ ขาดแต่ไม่มีภาพของหญิงที่แต่งกายโบราณแบบจีนยืนเป็นนางแบบเท่านั้น ภูเขาหิมะมังกรหยกเนี่ยนับเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของชนเผ่าต่างๆ ในลี่เจียงค่ะมีทั้งหมด 12 ยอด ยอดที่สูงที่สุดของเทือกเขานี้สูงจากระดับน้ำทะเล 5,596 เมตร ยอดสูงที่สุดชื่อ ซานจือโต่วแม้จะสูงเพียง 5,596 เมตร แต่ว่ากันว่าทุกวันนี้ยังไม่มีมนุษย์คนใดสามารถพิชิตยอดเขาซานจือโต่วนี้ได้สำเร็จ ว่ากันว่ามองดูแล้วเขาแห่งนี้มีลักษณะคล้ายมังกรนอนอยู่บนก้อนเมฆ จึงเป็นที่มาของชื่อค่ะ  ฉันขึ้นไปบนภูเขามังกรหยกหิมะหยู่หลงสโนว์(Yulong Snow Mountain)ฝันแรกที่อยากมาดูนานแล้ว อยู่ห่างจากตัวเมืองลี่เจียงไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 35 ก.ม. ชาวเผ่าน่าซี่ในหัวใจนับถือว่าเป็นภูเขาที่สิงสถิตย์ของเซียนเทพยาดา มีความสูงประมาณ 5,596 เมตร หิมะปกคลุมตลอดปี แถบทุ่งหญ้าที่ราบสูงเป็นเทือกเขาทรุดตัวมี 12 ยอด สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 4,500 เมตร ยอดที่สูงที่สุดของมังกรหยกหิมะหยู่หลงสโนว์ชื่อ “ส้านจื่อถู Shanzi dou” เป็นภูเขาที่มีหิมะอยู่ใกล้ทวีปเอเซีย – ยุโรปมากที่สุด มีมหาสมุทรธารน้ำแข็งใหม่ 19 แห่ง และเมื่อปีค.ศ.2001 ได้ถูกนับให้เป็นน้องยอดภูเขามัทเทอร์ฮอน(Matterhorn Peak) ของเทือกเขาแอลป์(Alpines)ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ค่าผ่านด่านเข้าไปยังภูเขาราคา 80 หยวนหรือเกือบสี่ร้อยบาท สามารถไปขึ้นกระเช้าถึงลานทุ่งหญ้า “หยินซานผิง”และภูเขาหิมะใหญ่ ทิวทัศน์ข้างบนนี้สวยงาม แต่จะมีปัญหาสำหรับบางคนที่แพ้ความสูง อาจจะเกิดอาการเหนื่อยปวดหัวเดินไม่ไหวและหายใจไม่ออก เนื่องจากอากาศเบาบางมีน้อย จึงต้องหยุดพักและซื้อออกซิเจนที่มีวางขายเป็นถังเล็กๆ เอาใว้ใช้สูดเพิ่มอ๊อกซิเจนเข้าไปในปอด กระเช้าขึ้นชมวิวภูเขามังกรหยกหิมะหยู่หลงสโนว์มีอยู่ถึงสามแห่งในเวลานี้ เลือกได้ตามใจวิวสวยงามมากๆทุกที่ได้ระดับชั้นสุดยอดที่ท่องเที่ยว 5 ดาวของการท่องเที่ยวแห่งประเทศจีนมหัศจรรย์ความสวยภูเขามังกรหยกหิมะหยู่หลงสโนว์
ขอบคุณข้อมูลและภาพสวยๆ
http://www.holidaythai.comhttp
http:www.gotoknow.org

วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เมืองโบราณเฟิ่งหวงกับมนต์เสน่ห์แห่งม่านหมอก


เมืองโบราณเฟิ่งหวง(fenghuang)



                    เมืองโบราณเฟิ่งหวง  (fenghuang)  ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกของมณฑลหูหนาน สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิง มีประวัติกว่า 400 ปี เนื่องจากเขาหนานหัวที่อยู่ทางใต้ของเมืองมีรูปร่างเหมือนหงส์ จึงได้ชื่อว่า "เฟิ่งหวง" แปลว่า "หงส์" 
                    ปัจจุบัน เมืองเฟิ่งหวงมีประชากรประมาณ 3 แสนคน ส่วนใหญ่เป็นชนเผ่าถู่เจียและชาวม้ง เวลาเดินอยู่ในตัวเมือง มักจะพบหญิงสาวชาวม้งหรือชาวถู่เจียในชุดชนชาติที่ประดับด้วยลายดอกไม้ เพิ่มความงดงามให้เมืองโบราณแห่งนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว  เฟิ่งหวงเป็นเมืองขนาดเล็ก ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงก็เดินได้ทั่ว แบ่งเป็นเมืองเก่ากับเมืองใหม่ เมืองเก่าสร้างขึ้นตามเชิงเขาและมีลำน้ำถัวเจียงไหลผ่าน มีถนนที่ปูด้วยหินสีเขียว 20 กว่าสาย มีกำแพงเมืองโบราณตั้งอยู่ริมน้ำ มีหงเฉียวซึ่งเป็นสะพานเก่าแก่ที่มีหลังคาคลุมเชื่อมสองฟากฝั่งให้เป็นหนึ่งเดียว  จุดเด่นของเฟิ่งหวง คือ "เตี้ยวเจี่ยวโหล" เป็นบ้านที่ยกพื้นสูงเรียงรายกันตามริมน้ำที่ใสสะอาดจนมองเห็นทุกสรรพสิ่ง เป็นทัศนียภาพที่สวยงามและเป็นที่นิยมชมชอบทั้งชาวจีนและนักท่องเที่ยวเลยทีเชียว  
               
                  เฟิ่งหวงเป็นเมืองที่กำเนิดอัจฉริยะบุรุษหลายคน นอกจากเสิ่นฉงเหวินซึ่งเป็นนักประพันธ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังแล้ว สง ซีหลิง อดีตนายกรัฐมนตรีคนแรกของสาธารณรัฐจีน และนายหวาง หย่งยู่ว์ จิตรกรที่มีื่ชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศก็เป็นชาวเฟิ่งหวง บ้านเดิมของเสิ่นฉงเหวิน นักประพันธ์ นักประวัติศาสตร์และนักการศึกษาค้นคว้าโบราณคดีนามอุโฆษของจีน เป็นบ้านที่มีลานบ้านล้อมรอบทั้งสี่ด้าน ก่อด้วยอิฐทนไฟที่มีสัญลักษณ์ประจำท้องถิ่นในภาคตะวันตกของมณฑลหูหนาน ซึ่งตกทอดมาจากรุ่นปู่ของเสิ่นฉง เหวิน อดีตผู้บัญชาการทหารประจำมณฑลกุ้ยโจวในสมัยราชวงศ์ชิง ต่อมาจึงสร้างเป็นบ้านเรือนดังกล่าว  เนื่องจากเป็นเมืองท่องเที่ยว บ้านเรือนเก่าแก่ของเฟิ่งหวงจึงใช้เป็นสถานที่เปิดบ้านพักสำหรับนักท่องเที่ยว บาร์เบียร์ และร้านค้าที่มีเอกลักษณ์ต่างๆ บาร์เบียร์เป็นสถานที่ที่พลาดไปไม่ได้หากไปเฟิ่งหวง เพราะส่วนใหญ่ตั้งอยู่สองข้างของลำน้ำ นั่งชมทิวทัศน์ที่สวยงามท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติก มีการตกแต่งที่เรียบง่ายและเป็นธรรมชาติ ไปนั่งอ่านหนังสือ จิบชา จิบเบียร์ หรือเล่นเน็ตก็ได้ พอพลบค่ำ โคมไฟสีแดงของแต่ละร้านที่อยู่สองฝากฝั่งลำน้ำก็สว่างไสว ประดับให้เมืองเก่าแก่แห่งนี้มีความสวยงามยิ่ง

                     บนถนนสายต่างๆของเมืองเก่า มีหญิงชราชาวม้งในชุดประจำชนชาติออกมาตั้งแผงลอยขายผ้าปักข้างๆกำแพงเมืองเก่า ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายแบบโบราณและสดชื่น ทุกเช้าพอฟ้าสว่างขึ้น ตามขั้นบันไดลงไปถึงริมลำน้ำ มีหมอกจางๆลอยเรี่ยอยู่บนผิวน้ำ โคมไฟสีแดงที่แขวนตามร้านทั้งสองฝั่งลำน้ำพริ้วไหวไปมาเบาๆท่ามกลางสายลมที่เย็นสบาย    นั่งเรือแจวชมบ้านเรือริมน้ำ ล่องตามลำน้ำถัวเจียง สนุก ตื่นเต้น และปลอดภัย ชมบ้านเรือนสองฟากฝั่งแม่น้ำ สะพานโบราณ ถนนที่ปูด้วยหินสีเขียว และ ต้นไผ่ที่สูงสะโอดสะอง รวมทั้งหญิงสาวชาวถู่เจียและชาวม้ง เมืองนี้เหมือนภาพเขียนที่สวยงามมากคะ     ที่เมืองเฟิ่งหวง สิ่งที่น่าซื้อไปฝากมากน่าจะเป็นน้ำตาลขิง เพราะเมืองเฟิ่งหวงมีร้านขายน้ำตาลขิงหลายสิบเจ้า  น้ำตาลขิงใช้วัตถุดิบคือน้ำตาลแดง ขิงสด งา และน้ำแร่ น้ำตาลขิงไม่เพียงแต่ทำให้กระเพาะอาหารมีความอุ่น ช่วยให้โลหิตหมุนเวียนดี แก้ไอและขับเสมหะเท่านั้น หากยังมีรสชาติหวานกรอบอร่อยด้วย

                     อันว่าเมืองโบราณที่มีลมหายใจ ก็คือเป็นเมืองที่มี มีหลายร้อยปีแล้ว ปัจจุบันก็ยังมี
คนอาศัยอยู่กันไม่ขาดสาย แต่ ลมหายใจของเมืองเฟิ่งหวงค่อนข้างเป็นลมหายใจเสียงดังมากหน่อย ดังราวกับงานวัด หรือในงานคอนเสิร์ต เพราะยามกลางคืนเต็มไปด้วยผู้คนที่มาเดินชมแสงไฟ หงเฉียว   สะพานมีหลังคา  แลนด์มาร์คของเฟิ่งหวง  มีร้านขายของเรียงรายสองข้างทางตรงกลางเป็นถนนให้คนเดินข้ามฝั่ง   ใครจะไปจะมา จะนัดหมายกัน ก็มักจะเริ่มที่นี่ จำชื่อไว้นะค่ะ หงเฉียว  เท่านั้น อย่าเรียกชื่อฝรั่งตามแผ่นพับว่า Rainbow Bridge เพราะไม่มีใครรู้จัก

ขอบคุณข้อมูลและภาพสวยๆ
http://travel.thaiza.com
http://www.meetawee.com

วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ทะเลสาบคานาสือ




               ดิฉันใช้เวลาในการเดินทางจากกรุงเทพฯไปนครกวางเจาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งจากนั้นต่อเครื่องเที่ยวบิน ภายใน ไปเมืองอูรูมูฉี เมืองเอกของมณฑลซินเกียงใช้เวลาต่ออีก 5 ชั่วโมงถึงเมืองอูรูมูฉี วันแรกใชัเวลาเดินทางทั้งวัน เข้าที่พัก พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ค่ะ เหนื่อยมากกับการเดินทาง

                เช้าวันใหม่สำหรับทริปนี้ ออกเดินทางประมาณเวลา 9 โมงเช้ามุ่งหน้าสู่เมืองเคอลามาอี้ ระหว่างทางแวะทะเลสาบไซลิมูหู หรือ ไข่มุกมรกตแห่งซินเจียง วิวทิวทัศน์ทะเลสาบสีครามที่ตัดกับภูเขาน้ำแข็งการ์เซียที่ตั้งตระหง่านที่งดงามเกินกว่าที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดห้วงเวลาที่ผ่านโค้งสุดท้ายเพื่อเข้าสู่ทะเลสาบเป็นโค้งสุดท้ายที่สวยงามมากเลย จนเปรียบดั่งกับสมญานามที่ได้รับว่า  ดินแดนที่ไปแล้วจะลืมคิดถึงบ้าน พร้อมถ่ายภาพความประทับใจคู่กับธรรมชาติริมทะเลสาบไว้เป็นที่ระลึก ชม ฝูงแกะ ฝูงม้า และมีบ้านที่เป็นแบบกระโจมของชาวมองโกเลียพักอาศัยอยู่แล้วเดินทางต่อไปยังเมือง เค่อลามาอี้ ระหว่างทางมีจุดแวะพักหลายจุดเดินทางไม่รีบร้อน

              เดินทางอีก 350 กิโลเมตร เดินทางไปเมืองปู้เอ่อจิน ผ่านเมืองผีอู่เอ้อเฮ้อ หรือเรียกว่าแพะเมืองผีเป็นดินที่เกิดจากการกัดเซาะของกระแสทำให้เกิดเป็นรูปร่างต่างๆเปรียบเสมือนดินแดนพิศวงในนิยาย เชื่อกันว่าเดิมสถานที่แห่งนี้เคยเป็นทะเลสาบที่มีน้ำใสสะอาดเมื่อหลายพันล้านปีก่อน ต่อมาเกิดได้เกิดการพลิกตัวของเปลือกโลกเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง ทำให้เกิดการพลิกตัวของท้องน้ำเหนือทะเลสาบกลายเป็นทะเลทรายจึงทำให้เป็นหินรูปร่างแปลกตาที่เกิด จากการกัดเซาะของกระแสลมแรง จากนั้นดิฉันก็เดินทางต่อไปชมสิ่งมหัศจรรย์ ธารน้ำห้าสี ที่เกิดจากการทับถมของหิน ดิน นับพันปีมีชั้นหินทรายเรียงสลับซับซ้อนกันจากสภาพอากาศที่แปรปวน และกระแสลมเปลี่ยนแปลงกลายเป็นหินที่มีความสวยงามยามสะท้อนกับพระอาทิตย์ยามเย็นเห็นเป็นสีแดง ส้ม เหลือง เทา และน้ำตาล ดูสวยงามแปลกตาตัดกับทุ่งหญ้าสีเขียว ชม แกรนแคนยอน ที่เกิดจากการกัดเซาของสายน้ำและสายลมทำให้เกิดเป็นรูปทรงต่างๆเปรียบเสมือนอาณาจักรหินสีทองที่มีความยิ่งใหญ่ควรค่าเดินทางต่อไปสู่เมืองปู้เอ่อจิ่ง เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในเรื่องของปลาน้ำเย็นซึ่งเป็นปลาที่มีเนื้อนุ่มและมีกลิ่นหอมที่สามารถหาได้จากสถานที่ที่มีน้ำเย็นที่ไหลจากเทือกเขาที่น้ำแข็งละลายและไหลจากเทือกเขาน้ำแข็งลงมาสู่แม่น้ำ

                วันรุ่งขึ้นกับการเดินทางอีก 180 กิโลเมตร ดิฉันออกเดินทางสู่หุบเหวเจียเติง  2 ข้างทางที่เป็นทะเลสาบที่มีความกว้างใหญ่ไพศาลและชมทั้งแพะและแกะที่ยืนอยู่ตามภูเขาที่มีความสูงชัน  หมู่บ้านเหอมูชุน ที่อยู่ด้านบนของอุทยานฯเป็นหมู่บ้านเก่าแก่ที่มีความงดงาม ซึ่งหมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านที่มีนักถ่ายภาพและนักวาดรูปจากทั่วโลกให้ความสนใจและหลงใหลในมนต์เสน่ห์มากที่สุดในประเทศจีน
                
            เดินทางถึง ทะเลสาบคานาสือ อุทยานแห่งชาติคานาสือ หุบเหวเจียเติง เพื่อเดินทางเข้าสู่ ทะเลสาบคานาสือ  ณ ใจกลางอุทยานฯ ได้รับการยกย่องว่าเป็นแผ่นดินที่บริสุทธิ์ชิ้นสุดท้ายของมวลมนุษย์ปราศจากมลภาวะ สวยงามที่สุดที่หลงเหลืออยู่ในโลกนี้ยิ่งกว่าจิ่วจ้ายโกวหลายเท่า ล่องเรือทะเลสาบคานาสือ  ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ล้อมรอบด้วยภูเขาที่ประดับด้วยใบไม้ที่ผลัดเปลี่ยนสีตามฤดูกาลเป็นทะเลสาบที่ขนานนามว่า “ทะเลสาบแห่งเทพนิยาย” ได้สัมผัสกับกลิ่นอายความบริสุทธิ์ของธรรมชาติรอบกายโอบล้อมด้วยภูเขาทั้งซ้ายและขวาที่เขียวขจีแซมด้วยการผลัดเปลี่ยนสีของใบไม้ในช่วงหน้าหนาวของทะเลสาบคานาสือแห่งนี้ สวยงามเกินกว่าคำบรรยาย มากกว่าจิ่วจ้ายโกว แล้วขึ้นสู่จุดชมวิว กวนหวี่ถิง ตื่นตาตื่นใจกับทัศนียภาพของทะเลสาบกลางหุบเขา ถ้าโชคดีจะได้เห็นสัตว์ประหลาดหรือปลาแดงขนาดใหญ่ (หงหวี) ที่มีความยาวประมาณ 8 – 12 เมตร ซึ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของทะเลสาบแห่งนี้เลยทีเดียว เดินทางต่อผ่าน แม่น้ำเคอเอ๋อฉี่ซื่อเห่อเป็นแม่น้ำแห่งเดียวที่ไหลสู่ทะเลขั้วโลกเหนือเดินทางชม  เย้เลี่ยงวาน หรือ ทะเลสาบวงพระจันทร์  ที่มีตำนานเล่าขานว่าเป็นทะเลสาบที่มีรอยเท้าของเจงกิสข่านเป็นรอยเท้า ทะเลสาบแห่งนี้แบ่งเป็นสองสีในเวลาเดียวกันจากนั้นเดินทางต่อเพื่อชมความงามแห่งทะเลสาบเทวดาเป็นทะสาบที่มีจุดเด่นอยู่ที่ความใสของน้ำและภูเขาที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ด้านหลังทะเลสาบแห่งนี้ และชมทะเลสาบมังกรหลับ ซึ่งทะเลสาบแห่งนี้จะมีเกาะอยู่ตรงกลางของทะเลสาบดูคล้ายกับสันหลังของมังกรที่หลับเพื่อรอวันตื่นทำให้ชาวบ้านขนานนามว่า ทะเลสาบมังกรหลับ
 ขอบคุณสำหรับข้อมูลและภาพสวยๆๆสวย

http://www.choktaweetour.org
http://dragowen.multiply.com

วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ทะเลสาบหลูกู มณฑลยูนนาน



ทะเลสาบหลูกู มณฑลยูนนาน


 

          ทะเลสาบหลูกู     ตั้งอยู่ระหว่างอำเภอหนิงลั่งมณฑลยูนนานกับอำเภอเอี๋ยนจินของมณฑลเสฉวน ห่างจากลี่เจียงเมืองโบราณที่มีชื่อ เสียงของมณฑลยูนนานประมาณ270กิโลเมตร มีความสูงเหนือ ระดับน้ำทะเล2,680เมตร ผิวน้ำมีพื้นที่52ตารางกิโลเมตร เฉลี่ยความลึกประมาณ40เมตร มีความลึกที่สุดถึง93เมตร เนื่องจากไม่มีมลภาวะ น้ำจึงบริสุทธิ์ใสสะอาด สามารถมองเห็นใต้น้ำได้ลึกถึง12เมตร
ทะเลสาบหลูกูเสมือนหนึ่งอัญมณีที่ประดับในอ้อมอก ของภูเขา ได้รับฉายาว่า"อัญมณีบนที่ราบสูง" "พื้นที่บริสุทธิ์ในทางภาคตะวันตก เฉียงเหนือของมณฑลยูนนาน"และ"สิ่งมหัศจรรย์ธรรมชาติในตะวัน ออก"เป็นต้น บริเวณรอบข้างทะเลสาบหลูกูมีป่าดิบที่หนาทึบ อากาศดี ท้องฟ้าสีครามและเมฆสีขาว ที่สะท้อนกับท้องน้ำท่ามกลางอากาศเย็นสบายสดชื่นและวิถีชาวบ้านที่เรียบง่าย มักจะทำให้นักท่องเที่ยวลืมตัวว่า ตนเองอยู่ในโลกจริงหรือ อยู่ในโลกแห่งความฝันกันแน่  ความงดงาม และมนต์ขลังของ ทะเลสาบหลูกู   เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจสำหรับนักเดินทางอย่างเรา เมื่อมีโอกาสได้ไปเยือนทะเลสาบแห่งนี้ เหมือนต้องมนต์สะกดกับภาพที่ปรากฏตรงหน้า ทะเลสาบหลูกูหูงดงามราวกับภาพวาด สวยงามทั้งในภาพฝัน และภาพจริงเลยเชียว


    การเดินทางอันแสนยาวนานกับการไปเยือนหลูกูหูครั้งนี้ เริ่มต้นด้วยการนั่งรถไฟกลับจากซีอาน มาลงปลายทางที่พานจื่อฮวา แล้วต่อรถประจำทางแบบ (นั่ง) มาราธอนอีก 2 ต่อ ข้ามภูเขาหลายสิบลูก ตั้งแต่เช้าจรดค่ำกว่าจะถึงปลายทาง การเดินทางเต็มไปด้วยรสชาติของความสนุก ตื่นเต้น ผจญภัย



 และแล้วเราก็เดินทางถึงที่พัก ที่ทะเลสาบหลูกูหู ที่พักที่นี้ มีทุกอย่างครบ ห้องน้ำอย่างดีพร้อมน้ำอุ่น เครื่องปรับอากาศ ผ้าห่มไฟฟ้า ทีวีที่รับได้ทุกช่องรวมไปถึง HBO และมี Hi-Speed Wifi ให้ใช้ฟรี  เราเก็บสัมภาระเรียบร้อยกันเสร็จแล้ว ก็ออกไปสำรวจเส้นทาง โดยการขี่จักรยานเช่าปั่นสำรวจเส้นทางลัดเลาะไปตามแนวทะเลสาบ ถนนทอดตัวเลื้อยยาวไปตามเนินคดโค้ง ขึ้นๆลงๆ ตามความลาดชันของภูเขาที่โอบล้อมทะเลสาบไว้ มองเห็นเกาะเล็กๆ กลางทะเลสาบ ชาวบ้านออกเรือหาปลา สุนัขวิ่งไปมา บ้านเรือนปลูกเป็นแนวขนานบนที่ราบสองฝั่งถนน สลับกับสวนผลไม้ และไม้ยืนต้นจำพวกสน สวยมาก บรรยากาศดีมาก  ค่ำคืนนี้ ท้องฟ้าใสกระจ่าง เรายืนดูดวงดาวเงียบๆ ริมทะเลสาบท่ามกลางความหนาวเหน็บ ได้ยินเสียงความเงียบสลับกับเสียงลมหายใจของตนเอง  เช้าวันรุ่งขึ้น จุดหมายปลายทางของวันนี้คือที่ เฉาไห่ หรือ 'ทะเลหญ้า' เป็นอ่าวแหลม ๆ แห่งหนึ่งในหลูกูหู แต่มีลักษณะพิเศษคือมีหญ้าและพืชน้ำขึ้นอยู่เต็มบริเวณ ทั้งสองฟากมีหมู่บ้านเก่าแก่ซึ่งเชื่อมต่อกันด้วยสะพานไม้ยาวเหยียด ทราบมาว่าบริเวณนี้เป็นจุดชมนกที่สำคัญแห่งหนึ่งด้วย แต่ช่วงที่เรามานี้ไม่ใช่ฤดู ไม่มีนกสักตัว

นอกจากความงามทางธรรมชาติแล้ว วิถีชีวิตชาวโมโซที่อาศัย อยู่ริมทะเลสาบก็เป็นเสน่ห์ตรึงใจชาวโลกเช่นกันนะค่ะ  ชาวโมโซยังรักษาธรรมเนียมดั้งเดิมของครอบครัวโดยที่ผู้หญิงเป็นใหญ่ในบ้านจนผู้หญิงที่เก่งที่สุดจะเป็นผู้ปกครอง ในครอบครัว ชาย-หญิงจะไม่แต่งงานกัน แต่อยู่ด้วยกันเป็นครั้ง คราวได้ โดยต้องไปค้างคืนที่บ้านฝ่ายหญิง เมื่อชาวโมโซมีอายุถึง13ปีก็จะเชิญพี่ชายหรือน้องชายของคุณแม่และผู้ใหญ่ในตระกูลสายเดียว กันจัดพิธีฉลองการบรรลุนิติภาวะ เป็นสัญลักษณ์แสดงว่า เด็กได้โตเป็นหนุ่มหรือสาว สามารถเข้าร่วมกิจกรรมคบค้าสมาคม และไปหาคู่รักอย่างเสรีได้แล้ว หากชายหญิงรักกัน ฝ่ายชายก็จะมอบเครื่องประดับทั้งทอง เงินหรือหยก ลูกประคำและแถบผ้าไหมให้ฝ่ายหญิงตามกำลังทรัพย์ ของตน ส่วนหญิงสาวก็จะนำเครื่องประดับที่ตนเองชอบให้ฝ่ายชาย นับเป็นสิ่งยืนยันความสัมพันธ์ที่เป็นเพื่อนสนิทพิเศษที่เรียกว่า "อาเซี่ย"กัน แต่ก็มีบางคน พบครั้งเดียวก็รักกันสร้างความสัมพันธ์เป็น "อาเซี่ย"ผู้ชายจะช่วยทำงานที่บ้านตนเองในกลางวันและไปค้างคืนที่บ้านผู้หญิงในกลางคืน เช้ารุ่งขึ้น ก็กลับบ้าน ความสัมพันธ์ของ "อาเซี่ย"จะยั่งยืนแค่ไหนขึ้นอยู่กับความรักของสองฝ่าย นานที่สุดอาจ จะถึงหลายสิบปี ที่สั้นที่สุด อาจจะมีไม่กี่วันก็ได้ หากสองฝ่ายไม่รักกันอีกแล้ว หรือมีฝ่ายหนึ่งไม่รักอีกฝ่ายหนึ่งแล้ว ก็จะยกเลิกความสัมพันธ์"อาเซี่ย"กันอย่างอัตโนมัติ  เนื่องจากชายกับญิงไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน จึงไม่มีการ ทะเลาะเบาะแว้ง พวกเขาให้เกียรติซึ่งกันและกัน เมื่อผู้หญิงคลอดบุตรแล้ว แม่หรือพี่สาวน้องสาวของฝ่ายชายก็จะ นำสิ่งของจำนวนมากไปเยี่ยม แม้ฝ่ายชายไม่ต้องดูแลลูก แต่เมื่อรู้ว่า เด็กคนไหนเป็นลูกของตนเองก็ต้องไปเยี่ยมและช่วยดูแล เป็นประจำ ส่วนลูกก็จะไหว้คุณพ่อในยามจัดพิธีเป็นชายหนุ่มหรือหญิง สาวเต็มตัวที่เรียกว่า"เฉินติง"และต้องไปกล่าวอวยพรปีใหม่ที่บ้านพ่อ  เนื่องจากสมาชิกในครอบครัวที่มีความสัมพันธ์เป็นเชื้อสาย เดียวกัน จึงสนิทสนมกันมากโดยไม่มีการทะเลาะวิวาทกัน ระบบครอบครัวที่มีเอกลักษณ์นี้ได้กลายเป็นข้อมูลตัวอย่างสังคมแบบที่แม่เป็นใหญ่ในการวิจัยทางมนุษยวิทยาและสังคมวิทยา ทั้งนี้ไม่ เพียงแต่ดึงดูดนักวิชาการทั้งภายในและนอกประเทศไปทำการวิจัยเท่านั้น หากยังดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากด้วย


ขอบคุณข้อมูลและภาพสวยๆ
http://www.thaibizchina.com
http://www.tenpointstravel.com
http://thai.cri.cn

วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555

แชงกรีล่า เมืองแห่งหลังคาโลก


       
   แชงกรีล่า เมืองแห่งหลังคาโลก

        แชงกรีล่า เมืองแห่งหลังคาโลก สุดขอบประเทศจีน ชายแดนทิเบตที่นี่ที่เดียวที่ทำให้ฉันตัดสินใจไปทริปนี้ เป็นสถานที่ที่ใฝ่ฝันและตั้งใจไว้แล้วว่าวันหนึ่งต้องไปให้ถึง ในที่สุดก็มาทริปนี้แหละค่ะ
มาตามรอยเส้นทางสู่แชงกรีล่ากับการเดินทางของทริปนี้ ผ่านเมืองลี่เจียง เส้นทางจากต้าลี่ไปถึงลี่เจียงนั้น เป็นทางค่อนข้างราบ สองข้างทางวิวสวยมากก ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ทำการเกษตร จริงๆใช้เวลาเดินทางจากต้าลี่เข้าเมืองลี่เจียงประมาณ 5 ชั่วโมงเพราะจุดหมายของฉันคือ แชงกรีล่า

       วันนี้นั่งรถทั้งวันจริงๆ เส้นทางก็ขรุขระ ปีนป่าย ขึ้นเขา วกวน เรียกว่านั่งรถกันจนเหนื่อยเลยทีเดีย แต่
ระหว่างทางไปแชงกรีล่าจะต้องอาศัยคนขับรถที่มีความชำนาญเส้นทางและฝีมือดีมากๆ เพราะเส้นทางเป็นไหล่เขาทั้งนั้น แล้วก็ผ่านวัดหลังนี้ที่ตั้งอยู่บนเขา วิวสวยมากกกก เราเริ่มเห็นวัฒนธรรมแบบทิเบตไปเรื่อยๆทั้งวัดและผู้คนวิวข้างบนสวยมากก แวะที่วัดได้ประมาณ 20 นาที ก่อนจะขึ้นไปแชงกรีล่า หุบเขาเสือกระโจน หนึ่งใจสถานที่ที่ต้องแวะไปค่ะหุบเขาเสือกระโจน โค้งแรกแม่น้ำแยงซีเกียง ที่นี่เริ่มเห็นเทือกเขาหิมะกันแล้ว วิวสวยมากกพอไปถึงหุบเขาเสือกระโจน รู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ พอไปยืนอยู่ตรงหุบเขา รู้สึกเลยว่า มนุษย์นั้นช่างตัวเล็กนัก เมื่อเทียบกับธรรมชาติอันยิ่งใหรู้สึกถึงความอลังการอย่างแรง  ถึงตอนนี้ฉันต้องเริ่มฟิตแล้วค่ะ เพราะฉันต้องเดินขึ้น - ลงบันไดเกือบ 300 กว่าขั้น
(แม่เจ้าจะไหวไหมเนี๊ยะ) ไหวไม่ไหวตอนนี้ฉันก็อยู่ในจุดที่สูงเกือบ 3000 เมตรจากระดับน้ำทะเล ต้องย้ำเตือนตัวเองว่าค่อยๆ เดิน ห้ามวิ่ง หายใจช้าๆ ทำอะไรช้าๆ ไม่งั้นเดี๋ยวจะหายใจไม่ทันเน้อ
        จากนั้นฉันก็มุ่งหน้าสู่แชงกรีล่า ผ่านหุบเขา ต่างๆ มากมาย ใช้ระยะเวลาเดินทางอีกประมาณ 3 ชม. ไปถึงแชงกรีล่าเกือบๆ สองทุ่ม ซึ่งขณะนั้นยังสว่างอยู่เลย สองทุ่มแล้วพระอาทิตย์เพิ่งตกดินเองอ่ะไปถึงโรงแรมแล้ว อากาศหนาวมาก มองอะไรไม่เห็นทั้งสิ้น รู้แต่ว่า หนาว คืนนี้ฉันก็ต้องรีบนอนให้เร็วพราะพรุ่งนี้ต้องเตรียมความพร้อมสำหรับขึ้นภูเขาหิมะ
        ตอนเช้าที่แชงกรีล่าอากาศหนาวมาก  สถานที่แรกในแชงกรีล่าคือวัดโบราณเป็นสถานที่ที่คิดว่าทุกคนคงเคยเห็นมาแล้ว ไม่ว่าจะผ่านรูป เหมือนกันค่ะ เคยเห็นมาบ่อย จนอยากมาเห็นด้วยตาตัวเอง วันนี้ได้เห็นแล้วบ้านเรือนที่ปลูกซ้อนกันบนเขา ล้อมรอบไปด้วยภูเขาหิมะ ดูเก่าแก่ มีมนต์ขลังยังไงไม่รู้บอกไม่ถูกแต่ในสายตาฉันรู้สึกว่ามันสวยมาก ชอบ โดยส่วนตัวเป็นคนหลงใหลในวัฒนธรรมอินเดีย เนปาล ทิเบต ถึงจะไม่ได้ไปถึงทิเบต แต่ที่แชงกรีล่านี่ก็ตอบโจทย์ได้ค่อนข้างมากทีเดียวเนื่องจากที่นี่ถึงแม้จะเป็นประเทศจีน แต่มีผู้คนชนเผ่าทิเบตอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก บ้านเรือน วัด และวัฒนธรรมต่างๆ ของทิเบต เลยเอียงไปทางทิเบตมากกว่าจีนส่วนตัวฉันเดินไปเรื่อยๆ ในที่ที่ไม่ค่อยมีคน
ฉันอยู่ที่วัดนี้เกือบชั่วโมงพยายามถ่ายรูป เก็บไว้ให้มากที่สุดสิ่งหนึ่งที่ค้นพบระหว่างเดินดูบ้านเรือนของคนที่นี่คือพระที่นี่รวยมาก มีรถยนตร์ขับกับเกือบทุกคนและที่นี่นอกจากคนจะดุแล้วหมายังดุด้วยขณะที่ฉันเดินเข้าไปในวัดที่ไม่มีคนเลย ไม่มีนักท่องเที่ยวเดินเข้ามาซักคน เพราะเป็นวัดที่อยู่ด้านหลัง
หลังจากกลับจากวัดโบราณ เราก็ไปต่อที่เมืองโปรานกันค่ะ        

เมืองโบราณที่นี่ก็คล้ายๆ ถนนคนเดินช้อปปิ้งทั่วไปค่ะมีบ้านเรือน บาร์ เกสเฮ้าต์ ร้านขายของต่างๆ มากมาย ของถูกใช้ได้ สำหรับพวกเครื่องหนังแฮนเมดต่างๆมีเวลาแค่ 30 นาที คนใคร่ถ่ายรูปก็ถ่ายรูปไป คนใคร่ช้อปปิ้งก็ช้อปกันพูดกันไม่รู้เรื่อง ก็สามารถต่อราคากันเอาเป็นเอาตายได้
สิ่งหนึ่งที่ฉันสงสัยในวัฒธรรมของชาวทิเบตคือธงสีต่างๆ ที่แขวนไว้ตามบ้านเรือน ในวัด หรือสถูปต่างๆ ที่มีอยู่เกือบทุกที่ในทิเบต หรือที่แชงกรีล่าแห่งนี้ ธงสีพวกนี้มันมีความหมายว่าอะไร ข้องใจมาก ว่า
"ธงมนตรา" เป็นความเชื่อที่ว่ามนตราแห่งธงจะนำสิ่งที่ดีมาในบริเวณใกล้เคียง เปรียบเสมือนเครื่องรางของขลัง

การแขวนธงมนตรานั้นจะมีการเปลี่ยนใหม่ในทุกๆปี ในวันปีใหม่ตามปฏิทินของชาวทิเบต ธงมนตราผืนเก่าจะถูกเผา เนื่องจากความเชื่อที่ว่าธงมนตรานั้นเป็นของศักดิ์สิทธิ์บนผืนธงนั้นเป็นสัญลักษณืของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่สมควรที่จะทิ้งตามพื้นหรือเอาไปทำอย่างอื่นอย่างใด ดังนั้นเวลาเปลี่ยนธงมนตราในแต่ละครั้งธงผืนเก่าจะถูกเผาทั้งหมด ส่วนธงผืนใหม่นั้นจะถูกแขวนแทนที่ การแขวนธงมนตรานั้นต้องดูฤกษ์ดูยามให้ดีและเหมาะสมด้วย หากแขวนในวันที่ฤกษ์ไม่ดีแล้ว ธงนั้นจะส่งผลไปในทางที่ไม่ดีให้กับผู้แขวนเช่นกัน
ชาวทิเบตเชื่อว่าเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการแขวนธงมนตรานั้น คือในช่วงเช้าที่พระอาทิตย์สาดส่องอ่อนๆ ลมพัดไม่แรงคือพัดเอื่อยๆกำลังดี ท้องฟ้าสดใส ชาวทิเบตเชื่อว่าธงมนตรานั้นจะแสดงอิทธิฤทธิ์ของมนตราเมื่อลมพัดกระทบกับธงและธงพัดสะบัดไปตามลม มนตราที่อยู่บนผืนธงจะแสดงอิทธิฤทธิ์ปกป้องคุ้มครองจากภัยอันตรายและสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายให้เลยพ้นไป และในขณะเดียวกันจะเป็นการแผ่บุญกุศลไปให้กับวิญญาณและสรรพสัตว์
ธงมนตรานั้นจะมีด้วยกัน 2 ประเภท คือ แบบตั้งตรง เรียกว่า ลังตา และแบบแขวนยาวเรียกว่า
ดาร์โฌ่ช์ คำว่า ดาร์โฌ่ช์  ในภาษาทิเบตนั้นมีความหมายที่ดีทั้งสองคำ คำว่า ดาร์ หมายถึง การต่อชีวิต หรือมีชีวิตที่ยืนยาว โชคลาภ สุขภาพที่ดี ส่วนคำว่าโฌ่ช์ นั้นมีความหมายว่า การดำเนินชีวิตที่เป็นไปอย่างราบรื่นไร้อุปสรรค
ธงมนตรานั้นจะมีด้วยกัน 5 สี แต่ละสีนั้นเป็นเสมือนตัวแทนของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ และธาตุทั้ง 5 ตามความเชื่อ การแขวนธงมนตราจะเริ่มต้นด้วย สีเหลือง สีเขียว สีแดง สีขาว และ ท้ายสุดคือสีน้ำเงิน
สีแดง เป็นตัวแทนของ Amitabha Buddha และธาตุไฟ
สีน้ำเงิน เป็นตัวแทนของ Akshobhya Buddha และธาตุจักวาล
สีเขียว เป็นตัวแทน Amoghasiddhi Buddha  ธาตุอากาศ และลม
สีเหลือง เป็นตัวแทนของ Vairojana Buddha และธาตุดิน
สีขาว เป็นตัวแทนของ Ratna Sambhava Buddha และธาตุน้ำ
     ในสมัยก่อนการพิมพ์รูป คำสวดต่างๆ ลงบนธงสี่เหลี่ยมนี้นิยมใช้บล๊อคไม้แกะเป็นลาย แต่ในปัจจุบันส่วนมากนิยมใช้เครื่องพิมพ์แล้ว  ในผืนธงมนตราจะมีการพิมพ์รูปม้าแบก สัญลักษณ์ของศาสนาพุทธไว้สามสิ่ง ส่วนบริเวณด้านมุมทั้งสี่มุมจะมีรูป ครุฑ มังกร เสือ และสิงโตหิมะ สัตว์ทั้งสี่นี้เป็นเป็นสัตว์ที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสัญลักษณ์ของความโชคดีทั้งสี่คือ ความรู้แจ้ง พลัง การหลุดพ้น และความกล้าหาญ น่าเกรงขาม    หลายคำสวดจะถูกพิมพ์ลงบนผืนธงเดียวกัน รวมถึงคำสวดอ้อนวอนขอความเมตราจากพระโพธิสัตว์ ดาราเขียว คือ โอม ตารา ตู ตารา ตูเร โชฮา และคำสวดบูชาพระโพธิสัตว์ อวโรกิเตศวร โอม มณี เปดทะเม ฮูม เสมอไป   ไม่มีใครทราบว่าธงมนตรานี้ได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาใด เพราะในศาสนาพุทธไม่มีจารึกเกี่ยวกับเรื่องธงมนตรานี้เลย อาจเป็นไปได้ว่าธงมนตรานี้ได้รับอิทธิพลจากศาสนาเก่าของชาวทิเบตคือศาสนา บอน ศาสนาแรกที่ชาวทิเบตนับถือก่อนที่จะมานับถือศาสนาพุทธ
     ตามวัดของทิเบตจะไม่มีที่ฝังศพ เพราะคนทิเบตมีวิธีจัดการกับศพอยู่สองแบบคือ
1 ถ้าคนมีฐานะ เมื่อตายลงไป จะโดนสับร่างกายเป็นชิ้นๆ แล้วโยนให้กากิน เพราะเชื่อว่ากาที่กินซากศพนั้นจะพาศพขึ้นสวรรค์
2. ถ้าคนฐานะระดับล่าง ก็จะหั่นศพแล้วนำไปโยนลงแม่น้ำเอ่อ อันไหนโหดร้ายกว่ากัน
     ทำไมตอนขึ้นไปแชงกรีล่ารู้สึกว่านั่งรถนานมากก และมันไกลมากกกว่าจะไปถึงแต่ทำไมขากลับมันลงมารวดเร็ว  ประทับใจกับแชงกรีล่าแล้วละซิเรา
ขอบคุณข้อมูลและภาพสวยๆๆๆ

http://janjow.exteen.com
http://www.meetaweetour.co.th

วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ไหว้พระขอพรเที่ยวเมืองซัวเถา


เมือง ซัวเถา


       ซัวเถา ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีนในมณฑลกวางตุ้ง มีชายฝั่งทะเลยาว 325 กิโลเมตร เมืองซัวเถา ในอดีตเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ซึ่งต่อมาในศตวรรษที่ 18 ถูกยกระดับฐานะขึ้นเป็นเมืองท่านานาชาติ ก่อนจะกลายมาเป็น 1 ใน 4 เมืองเขตเศรษฐกิจพิเศษของจีน อันประกอบไปด้วย เซินเจิ้น , จูไห่ , เซี่ยะเหมิน และซัวเถา ปัจจุบันมีสถานะเทียบเท่ากับเมืองเซินเจิ้น , จูไห่และเซี่ยะเหมิน ซึ่งเป็นศูนย์กลางธุรกิจการค้าในแถบภูมิภาคของจีนแถบนี้



1. เฮี้ยงบู้ซัว (อยู่ระหว่างกวางเจา กับ ซัวเถา) ตั้งอยู่ที่อำเภอลู่เฟิง สร้างในสมัยราชวงศ์ซ่ง มีการบูรณะซ่อมแซมมากมาย จนกลายเป็นศาลเจ้าของศาสนาเต๋าที่ใหญ่โต มีผู้คนศรัทธามาบูชาอยู่เสมอ ปัจจุบันเฮี้ยงบู้ซัวได้ผสมผสานกับศาสนาพุทธให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ทำให้ฉันได้นมัสการเจ้าพ่อเสือ ซึ่งถือเป็นองค์จริงที่ทางไทยได้จำลองมาสู่ศาลเจ้าพ่อเสือบริเวณเสาชิงช้า ซึ่งคนส่วนใหญ่หลังจากนมัสการที่
เฮี้ยงบู้ซัวนี้แล้ว กลับมาก็จะทำการค้าขึ้นประสบแต่ความสำเร็จในชีวิต ทุกๆปีจะมีผู้ที่มาบนบานและแก้บนเป็นจำนวนมากเลยค่ะ ฉันมาถึงที่นี้แล้วถ้าไม่ไปบนบานขอพรก็ไม่ได้ขอนิดหนึ่งแล้วกันค่ะ อิอิ ภายในวัดมีทั้งเทวรูปเจ้าแห่งภาคเหนือ ซึ่งเป็นเทวรูปที่รักษาดูแลเรื่องน้ำ ประดิษฐานปิดทองอยู่ในศาลเจ้าพร้อมกันนั้นก็ยังมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ในวิหารหน้า เป็นสถานที่สักการะบูชาของคนซัวเถาอย่างกว้างขวาง และเป็นสถานที่ที่ชาวจีนโพ้นทะเล โดยเฉพาะชาวจีนในประเทศไทยจะนับถือกันมาก


2. เกาะหม่าสือ   ซึ่งเป็นเกาะที่มีทิวทัศน์สวยงามเป็นเกาะศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวจีนทั้งในและต่างประเทศให้ความนับถือ เกาะหม่าสือเป็นเกาะขนาดเล็ก มีเนื่อที่ 0.90 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่บริเวณปากอ่าวซัวเถา ให้ท่านขอพรจาก “ ไฮตังม่า ” เจ้าแม่ทับทิม ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองชาวจีนแต้จิ๋วที่อยู่ติดทะเล และมีวิถีชีวิตอยู่กับทะเล ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองชาวจีนแต้จิ๋วที่อยู่ติดทะเลและมีวิถีชีวิตอยู่กับทะเล

3. เมืองแต้จิ๋ว      เป็นเมืองโบราณ เป็นต้นกำเนิดของ “วัฒนธรรมจีนโพ้นทะเล” แห่งสำคัญอีกแห่ง ที่ต้อนรับการกลับบ้านของชาวจีนทั่วโลกด้วยตึกรามบ้านช่องแบบโบราณที่บางแห่งมีประวัตินับพันปีอย่างไม่เปลี่ยนแปลง

4. วัดไทย   ฉันได้เข้าชมศาลาไทยที่สวยงามที่สร้างจากความร่วมมือร่วมใจของคนจีน คนไทยเชื้อสายจีน และคนจีนที่อยู่ต่างแดน ซึ่งเป็นวัดที่สร้างขึ้นมา ตามต้นแบบของวัดไทยทุกอย่างสวยงามมากๆๆค่ะ


5. วัดไคหยวน  วัดที่ใหญ่ที่สุดของเมืองแต้จิ๋ว วัดสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ถังราว ค.ศ. 738 สมัยจักรพรรดิถังสวนจง (หมิงตี้) บางส่วนเป็นศิลปะสมัยราชวงศ์ซ่งและหยวน ประตูใหญ่ที่คนเข้าออก (ซานเหมือน) มีท้าวโลกบาล (เทียนหวัง) อยู่ด้านซ้ายขวาข้างละ 2 องค์ ตรงกลางเป็นรูป พระศรีอาริยเมตไตย อาคารหลักเรียกว่า ต้าฉงอู่เตียน เป็นวิหารกลาง ปลูกบนยกพื้นหินแกรนิต ภายในมีพระปฏิมาประธาน 3 องค์ ตรงกลางเป็นพระศากยมุนี ข้างซ้ายเป็นพระไภษัชยคุรุ ด้านขวาเป็นพระอมิตาภะ ริมผนังสองด้านเป็นพระอรหันต์ข้างละ 9 องค์ รวมเป็น 18 ที่เรียกว่า จับโป้ยหล่อฮั่น ตรงกลางเป็นพระแม่กวนอิมเหยียบบนปลาหลีฮื้อ เรียกว่า กวนอิมทะเลใต้ ประติมากรรมทั้งหมดนี้สร้างขึ้นใหม่ แต่มีความงดงามมากฉันเพลิดเพลินกับการชมความงามของวัดไคหยวน


6. สะพานเซียงจื่อ   เป็นสะพานโบราณข้ามแม่น้ำหานเจียง มีชื่ออีกชื่อว่าสะพานกว่างจี้ ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของตัวเมืองแต้จิ๋ว เริ่มสร้างในสมัยราชวงศ์ซ้ง ตรงกับปี ค.ศ. 1170 โดยใช้เวลาสร้างยาวนานถึง 57 ปี มีความยาว 515 เมตร ช่วงกลางสะพานซึ่งเป็นช่วงที่กว้างที่สุด มีความกว้างประมาณ 100 เมตรเป็นสะพานแห่งแรกของเมืองจีนที่เปิดปิดได้ (ไม่ได้ขึ้นบนสะพาน)ซึ่งอยู่ทางด้านเหนือของเมืองเฉาหยางแต่เดิมเป็นสุสาน ของซ่งไต่ฮงกงโจวซื่อ และได้มีการปฏิสังขรณ์ให้มีอาณาบริเวณกว้างขึ้นกว่าเดิม สิ่งที่ดึงดูดใจผู้คนมากที่สุดคือ ศาลาไต่ฮงกง ซึ่งมีความยาว 22 เมตร. สูง 14 เมตร โดยใช้เสาหินขนาดยักษ์ 16 ตันค้ำไว้ ภายในศาลามีรูปแกะสลักของท่านไต่ฮงกงประดิษฐานอยู่ โดยใช้หยกขาวที่นำเข้ามาจากประเทศพม่ามาแกะสลัก  เป็นที่นับถือของชาวจีนในพื้นที่และชาวจีนโพ้นทะเล และชาวจีนในประเทศไทยได้รวบรวมกันบริจาคเงินในการซ่อมแซม บูรณะสุสานแห่งนี้จนใหญ่โต สวยงามดังที่ได้เห็นในปัจจุบัน

8. วัดแปะฮวยเจียม หรือ วัดดอกไม้ขาว  ซึ่่งมีการสร้างศาลเจ้าใหญ่โตตามความเชื่อของศาสนาเต๋ามาตั้งแต่ดั้งเดิมนานหลายร้อยปี และมีการขยายบูรณะใหม่เมื่อ 15 ปีที่ผ่านมา ภายในตั้งองค์เทวรูปต่างๆตามแบบศาสนาเต๋า เช่น อี้หวางฮ่องเต้ กษัตริย์สูงสุดบนสวรรค์ ( พระเจ้าหยก )และเทวรูปต่างๆ เจ้าแม่สวรรค์ชั้นเก้า ซึ่งเป็นมารดาของพระเจ้าหยก และแต่ละชั้นของสวรรค์ก็ยังมีเจ้าแม่แต่ละองค์ดูแลศาลเจ้าแห่งนี้ มีผู้คนศรัทธามากราบไหว้มาก

    ฉันมาเที่ยวที่เมืองซัวเถาครั้งนี้ไม่ผิดหวังเลยจริงๆๆค่ะเพราะได้ทำบุญไหว้พระขอพรจากสิ่งศักดิ์สิ่งและยังได้ชมความงดงามของวัดต่างๆอีกด้วยค่ะได้เที่ยวพร้อมอิ่มบุญไปพร้อมๆๆกันมีความสุขมากสำหรับทริปนี้ค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพสวยๆๆ

http://www.wonderfulpackage.com
http://www.choktaweetour.com

"กวางเจา"...เมืองแพะ



"กวางเจา"...เมืองแพะ

  และแล้วในที่สุดดิฉันก็ได้มาเยือนเมืองเอกของมณฑลกวางตุ้ง หรือเมือง "กวางเจา" กันเสียที       
เมืองกวางเจานี้ได้ชื่อว่าเป็น "เมืองแพะ" เนื่องจากมีตำนานเล่าขานกันต่อมาว่า ในสมัยราชวงศ์โจว เทพห้าองค์มองเห็นเมืองกวางเจาแห้งแล้งอยู่ในภาวะข้าวยากหมากแพง จึงทรงประทับแพะซึ่งคาบรวงข้าวลงมาจากสวรรค์มาให้ชาวบ้าน และได้ดลบันดาลให้เมืองกวางเจามีความเจริญและอุดมสมบูรณ์ จากนั้นเทพทั้งห้าก็หายไป คงเหลือไว้แต่เพียงแพะทั้ง 5 ตัวที่กลายเป็นหิน ชาวเมืองจึงถือว่าแพะเป็นสัตว์สัญลักษณ์ประจำเมืองจนทุกวันนี้ กวางเจาจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า "เมืองแพะ" หรือ "หยางเฉิน" และมีอนุสาวรีย์ 5 แพะ ให้ชมกันอยู่ในสวนสาธารณะเยี่ยวซิ่ว ใจกลางเมืองกวางเจาค่ะ

      สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองกวางเจานั้น ก็มีอยู่หลายที่ด้วยกัน สำหรับที่แรกที่ดิฉันจะได้ไปเที่ยวนั้นก็คือ "บ้านตระกูลเฉิน" หรือบ้านของเหล่าคนแซ่เฉิน ซึ่งเป็นแซ่ใหญ่ 1 ใน 5 ของคนกวางเจา "บ้าน" หรือที่ควรจะเรียกว่า "คฤหาสน์" หลังนี้สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิง โดยคนตระกูลเฉินร่วมกันออกเงินสร้างเพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่ตระกูลของตัวเอง และได้กลายเป็นโรงเรียนตระกูลเฉิน ต่อมารัฐบาลจีนได้บูรณะซ่อมแซมเป็นครั้งใหญ่ และประกาศให้เป็นสถานที่อนุรักษ์ เพราะมีสถาปัตยกรรมที่งดงามมีคุณค่า    แต่จุดเด่นของคฤหาสน์ตระกูลเฉินที่แจ่มชัดที่สุดก็คงเป็นศิลปะและสถาปัตยกรรมของตัวบ้านนั่นเอง ลวดลายอันเป็นมงคลที่ประดับอยู่บนหลังคานั้นทำด้วยเซรามิคที่ปั้นเป็นรูปคนและรูปสัตว์ต่างๆด้วยความประณีต เมื่อผ่านประตูใหญ่เข้าไปยังด้านในก็จะเห็นฉากไม้ขนาดใหญ่แกะสลักเป็นลวดลายอันละเอียดและงดงาม ภายในก็มีการจัดแสดงข้าวของอย่างพวกเครื่องกระเบื้อง งานไม้ งานแกะสลักต่างๆ และยังแบ่งเป็นห้องๆเพื่อจัดแสดงสภาพบ้านเรือนของคนกวางเจาในอดีต 

      ไม่ไกลกันนักก็คือ "อนุสรณ์สถาน ดร.ซุน ยัตเซ็น" ที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึง ดร.ซุนยัตเซ็น ซึ่งถือว่าเป็นบิดาของชาวจีน เป็นผู้ปลดปล่อยชาวจีนจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชที่ปกครองประเทศจีนมาเป็นเวลาหลายพันปี โดยบ้านเกิดของเขานั้นก็อยู่ที่เมืองเซียงซัน ในกวางเจานี้เอง
   
 ที่ต่อมาดิฉันได้เข้าไปชมที่ "พิพิธภัณฑ์สุสานกษัตริย์หนานเยว่"สุสานกษัตริย์โบราณสมัยสมัยซีฮั่น เป็นสุสานของราชวงศ์ฮั่นตะวันตกที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุด และยังถือเป็น 1 ใน 80 พิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงของโลกอีกด้วย   ดูจากตัวตึกภายนอกแล้วคงไม่มีใครคิดว่าที่นี่คือสุสาน เพราะตัวตึกภายนอกดูเหมือนเป็นพิพิธภัณฑ์ดูทันสมัยสุดๆ แต่เมื่อเข้าไปชมภายในแล้วก็พบว่ายังคงรักษาสภาพโบราณของสุสานนี้ไว้ได้เป็นอย่างดี สุสานแห่งนี้เป็นของฮ่องเต้องค์ที่สองแห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ตัวสุสานนั้นต้องขุดลึกลงไปใต้ดินถึง 20 เมตร ซึ่งดิฉันสามารถเดินลงไปชมกันได้ ภายในสุสานแบ่งเป็นห้องๆ ซึ่งเป็นห้องสำหรับฝังพระศพของกษัตริย์และมเหสีของพระองค์ โดยในแต่ละห้องนั้นก็มีสมบัติพัสถานอีกมากมายที่ถูกฝังไปด้วยกันตามความเชื่อ แต่ปัจจุบันนี้ตัวสุสานก็เหลือเพียงห้องเปล่าๆ ส่วนสมบัติต่างๆ ที่ขุดขึ้นมาได้นั้นก็ถูกนำมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์นั่นเอง
              
       คราวนี้ไปเพลิดเพลินกับบรรดาสิงสาราสัตว์กันที่ "Xiangjiang Safari Park" กันบ้างดีกว่า สวนสัตว์แห่งนี้อยู่นอกเมืองไปสักหน่อย แต่ยังคงอยู่ในเมืองกวางเจานี่เอง ที่นี่มีสัตว์ชนิดต่างๆ อยู่กว่า 20,000 ตัว และกว่า 450 สายพันธุ์ นั่งรถรางของทางสวนสัตว์เพื่อเข้าไปชมสัตว์ต่างๆ ซึ่งก็ได้แก่สัตว์ในแถบโซนแอฟริกา เช่น สิงโตแอฟริกา แรดขาว ฮิปโปโปเตมัส เสือชีตา ม้าลาย ยีราฟ นกกระจอกเทศ สัตว์นักกล่าอย่างพวก เสือขาว สิงโต เสือดาว เสือเบงกอล หรือสัตว์จำพวกกวาง เก้ง นกยูง และอูฐ ก็มีให้ชมด้วยเช่นกัน  ส่วนในโซนของการเดินเท้าชมสัตว์ ก็ต้องไม่พลาดชมเจ้าหมีแพนด้าที่มีอยู่เป็นสิบตัว หมีโคอาล่าจากออสเตรเลียก็กำลังมีลูกตัวเล็กๆ เกาะหลังแม่ก็น่ารักไม่น้อย และสัตว์ชนิดอื่นๆอีกมากมาย เรียกว่าหากจะชมกันจริงๆ จังๆแล้วก็หมดวันเลยทีเดียว  แต่ความบันเทิงภายในบริเวณสวนสัตว์ยังไม่หมดเท่านี้ เพราะที่นี่ถือว่าเป็นแหล่งรวมความสนุกสนานแบบครบครัน มีทั้งสวนสนุก สวนน้ำ สวนจระเข้ คณะละครสัตว์นานาชาติ สนามกอล์ฟ แล้วก็โรงแรมอยู่ในบริเวณเดียวกันอย่างพร้อมสรรพเลยทีเดียว และที่ฉันไม่อยากให้พลาดก็คือการชมละครสัตว์ ซึ่งมีคณะนักแสดงจากประเทศรัสเซียซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องของกายกรรมมาร่วมให้ความบันเทิง พร้อมกับสัตว์ต่างๆที่ถูกฝึกมาอย่างดีก็เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของผู้ชมได้ตลอดการแสดง

        ปิดท้ายด้วยทริปนี้ที่ดิฉันไม่ยอมพลาดอยู่แล้ว นั่นก็คือ การช้อปปิ้ง โดยที่เมืองกวางเจานี้ก็ถือเป็นสวรรค์ของนักช้อปปิ้งเช่นเดียวกัน เพราะเมืองนี้เป็นแหล่งผลิตสินค้าแหล่งใหญ่ของโลก ด้วยความที่ค่าแรงถูก บริษัทต่างๆ จึงมาลงทุนตั้งโรงงานผลิตที่กวางเจา แล้วส่งออกขายไปยังประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องหนัง หรือสินค้าจำพวกของเล่นในร้านกิ๊ฟท์ช้อปต่างๆ
     
       "เป่ยจิงลู่" หรือ ถนนปักกิ่ง ก็เป็นแหล่งช้อปที่คึกคักที่สุดแห่งหนึ่งในกวางเจา ถนนเส้นนี้นั้นสร้างทับถนนโบราณ จึงมีการเก็บรักษาสภาพของถนนเก่าเส้นนั้นไว้ให้ผู้คนที่มาเดินช้อปปิ้งได้ทราบถึงความสำคัญกันด้วย ที่นี่นั้นก็มีบรรยากาศคล้ายสยามสแควร์บ้านเราอ่ะ มีร้านค้าและตรอกซอกซอยให้เดินมากมาย และมีทั้งเสื้อผ้าแบรนด์เนม และแบบที่ต่อรองได้ให้เลือกช้อปกัน หรือหากจะอยากจะได้พวกของเล่นแบบร้านกิ๊ฟท์ช้อปน่ารักๆ ก็ต้องไปที่ตึก One Link ที่เป็นห้างใหญ่แปดชั้น มีข้าวของกระจุกกระจิกมากมายตามแต่จะนึกออก แต่มีข้อแม้ก็คือต้องซื้อในจำนวนมากๆ จึงจะได้ราคาถูก หากซื้อเพียงชิ้นสองชิ้นก็จะยังมีราคาแพงอยู่ ก็คล้ายๆสำเพ็งบ้านเรานั่นเอง ซึ่งของที่สำเพ็งส่วนหนึ่งก็นำมาจากกวางเจานี่เองแหละ
     
       ท่องเที่ยวกันไปในหลายเมืองของมณฑลกวางตุ้ง และมาปิดท้ายที่เมืองกวางเจา ก็เรียกได้ว่าเที่ยวกันแบบครบรสชาติ ทั้งไหว้พระ เยือนมรดกโลก ชมพิพิธภัณฑ์ เที่ยวสวนสัตว์ แถมยังได้ช้อปปิ้งสนุกสนานอีกต่างหาก ถือไม่เสียเที่ยวจริงๆที่ได้มาเยือนมณฑลกวางตุ้งในคราวนี้

ขอบคุณสำหรับข้อมูลและภาพสวยๆๆ

http://www.khonkaenlink.info
http://www.sawasdeechina.com/
http://www.manager.co.th/

วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ฉงชิ่ง เมืองที่ถูกขนามนามว่า “ฮ่องกงน้อย”


ฉงชิ่ง เมืองที่ถูกขนามนามว่า “ฮ่องกงน้อย”

       เมือง ฉงชิ่ง ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย และคุ้นหูกับนักท่องเที่ยวชาวไทยมากนัก เหมือนกับแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ในจีน เนื่องจากพึ่งแยกตัวเป็นอิสระจากมณฑลเสฉวนมาเพียง  10 ปีกว่าๆ แต่ฉงชิ่งในวันนี้นอกจากจะเป็นเมือง 1 ใน 4 มหานครของจีนและมีความสำคัญด้านเศรษฐกิจอันดับแรกในแถบตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ฉงชิ่งยังเป็นเมืองที่มีสีสัน แหล่งท่องเที่ยวมากมาย รออ้าแขนรับนักท่องเที่ยวทั่วสารทิศของมุมโลกมาสัมผัสความเป็นฉงชิ่งที่อาจจะหาไม่ได้จากที่ใดในประเทศจีน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวไทย การเดินทางมาเที่ยวเมืองแห่งภูเขาแห่งนี้ก็แสนง่าย เพราะมีเครื่องบินตรงจากไทยมายังฉงชิ่งด้วยสายการบินเซี่ยงไฮ้แอร์ไลน์ จะบินทุกวันอังคารและวันอาทิตย์ หรือหากจะบินในวันอื่นก็สามารถเลือกสายการบิน เลือกเวลาได้อย่างอิสระ เพียงแต่ต้องแวะไปต่อเครื่องเดินเที่ยวมณฑลอื่นก็สักพัก ที่นิยมกันก็มี กวางโจว เซินเจิน มาเก๊า ฮ่องกง เฉิงตู ฯลฯ    ด้วยความที่ฉงชิ่งเป็นเมืองที่ไม่ใหญ่มาก (เทียบกับเมืองอื่นๆ ในจีน) และเป็นเขตเมืองซะเป็นส่วนมาก การเดินทางไปเที่ยวที่ต่างๆ จึงไม่เป็นปัญหาใหญ่ นั่งรถต่อเรือขึ้นเคเบิ้ลชมวิวภูเขาดูแม่น้ำลำธารได้ตามใจชอบ แต่มีอยู่อย่างเดียวที่นักท่องเที่ยวไม่พึงกระทำคือการปั่นจักรยานเที่ยวเพราะเมืองนี้เป็นเมืองภูเขา ปั่นขึ้นเขา ลงเขา ปั่นไปปั่นมา เชื่อได้ว่านักท่องเที่ยวได้หอบกันแฮกๆ  ไม่มีความสุขแน่ๆ
                ที่เที่ยวที่นี่ก็มีหลากหลายให้เลือก อยากดูนกชมไม้ปีนเขาชมธรรมชาติ ก็หาได้ในฉงชิ่ง อยากล่องเรือดูน้ำใสๆ แลเห็นตัวปลาก็เชิญมาฉงชิ่ง อยากเดินดูเมืองโบราณ วัฒนธรรมจีนเก่าๆ  ที่นี่จัดให้ ใครเป็นคอประวัติศาสตร์แฟนพันธ์แท้การเมืองจีนสมัยยุคขั้วจีนเก่าจีนใหม่ก็มาเยือนที่ทำการและบ้านพักเดิมของผู้นำจีนสมัยนั้น อ๊ะ หรือใครอยากมาจีนเพื่อมาดูหมีแพนด้าสุดน่ารัก ใครว่าที่เฉิงตูมีที่เดียว เชิญมาพิสูจน์ความน่ารักแสนรู้ด้วยตัวคุณเองที่สวนสัตว์ฉงชิ่ง  สรุปว่าที่นี่มีทุกสไตล์หลากหลายอารมณ์ให้เลือกสรร ถูกใจนักท่องเที่ยวนานาอารมณ์  ประมาณว่าที่เที่ยวที่นี่มีหลากหลาย ตอบโจทย์ได้ทุกเพศทุกวัยเลยที่เดียว



วัดโหลวห้าน     อยู่บริเวณซื่อจีโคว  ค่าผ่านประตู 2 หยวน เวลาเข้าชม  8 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็น
การเดินทางไป    นั่งรถไปซื่อจีโคว จากนั้นก็เดินจากซื่อจีโควไป เดินไปนิดเดียวก็ถึงเมื่อดิฉันเดินชมความศิวิไลน์ของเมืองฉงชิ่งและแม่น้ำเจียลิงบรรจบกับแม่น้ำแยงซีจากเฉาเทียนเมน ดิฉันก็เดินลัดเลาะมาเรื่อยๆ มาสักการะพระพุทธรูปในวัดเก่าแก่อันเลืองชื่อประจำเมืองฉงชิ่ง วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่ที่มีมานานนับพันปี ภายในวัดมีรูปสลักพระพุทธรูปมากกว่า 500 องค์ รวมถึงพระพุทธรูปทองคำองค์ใหญ่ตั้งตระง่าอยู่ในวัด สำหรับใครที่ชอบการทำนายดวงชะตา วัดนี้คงทำให้หลายต่อหลายคนยิ้มออก เพราะนอกจากเมืองจีนจะหาหมอดูที่ไม่ใช่หมอเดาได้ยากมาก วัดนี้ยังมีการทำนายดวงชะตาโดยดูจากวันเดือนปีเกิด หากใครโดยเฉพาะผู้นับถือพุทธศาสนา หากมีเวลาว่างวัดนี้ก็เป็นทางเลือกในการท่องเที่ยวที่หนึ่งที่ชาวฉงชิ่งหรือ นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด แม้แต่ดิฉัน

วัดเบ๋าหลุ่น    อยู่บริเวณซื่อจีโคว ค่าผ่านประตู 5 หยวน  เวลาเข้าชม   7 โมงเช้า ถึง 6 โมงเย็น
การเดินทางไป  นั่งรถไปซื่อจีโคว จากนั้นก็เดินจากซื่อจีโควไป เดินไปนิดเดียวก็ถึงวัดนี้มีศิลปะการตกแต่งลักษณะคล้ายๆ วัดโหลวห้าน แต่รูปสลักพระพุทธรูปไม่มาเท่า วัดนี้นับเป็นอีกวัดหนึ่งเป็นถือว่าเก่าแก่มากๆ อีกวัดหนึ่งในบรรดาวัดพุทธที่หลงเหลือในเมืองฉงชิ่ง แม้ไม่มีใครสามารถระบุได้ว่าวัดนี้สร้างขึ้นเมื่อใด แต่จากหลักฐานปรากฏว่าวัดนี้ได้สร้างขึ้นมากกว่า 1000 ปีก่อนหน้านี้


คุกซาโก้        ภูเขาเกอเลอ  เวลาเข้าชม   9 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็นการเดินทางไป   นั่งรถไปเจี๋ยฟางเป่ย จากนั้นก็เดินจากเจี๋ยฟางเป่ย เดินไปประมาณ 15-20 นาที เดินเรียบ สำหรับใครที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์จีน โดยเฉพาะช่วงการสร้างจีนใหม่ คุกซาโก้เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด เพราะสถานที่แห่งนี้เป็นที่กบดานลับของเจียงไคเช็คที่อเมริกาแอบสร้างและสนับสนุน ในอดีตสถานที่นี้เป็นที่ทำการของกลุ่มสร้างชาติ (นำโดยเจียงไคเช็ค) และเป็นที่จองจำคนจีนที่มีอยู่ฝ่ายตรงข้ามและเป็นพวกสนับสนุนคอมมิวนิสต์  



ขอบคุณข้อมูและภาพสวยๆๆๆ
http://www.ichat.in.th  
http://www.mfa.go.th

วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เมืองเซี่ยงไฮ้ปารีสแห่งตะวันออก



         เมืองเซี่ยงไฮ้ ได้รับสมญานามว่าเป็น ปารีสแห่งตะวันออกในที่สุดล้อเครื่องบินก็แตะพื้นรันเวย์
ณ สนามบินนานาชาติผู่ตง เมืองเซี่ยงไฮ้ ก็นับได้ว่าเป็นสนามบินที่ใหญ่ที่สุดของจีน แต่ที่ว่าความสวยงามและอลังการณ์ยังไม่เท่าสุวรรณภูมินะ เซี่ยงไฮ้เป็นเมืองใหญ่มาก เป็นเมืองท่าและเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของจีน และยังมีประชากรมากกว่าเมืองหลวงอย่างปักกิ่งเสียอีก การเดินทางจากสนามบินผู่ตง ไปยังในเมืองเซี่ยงไฮ้นั้นมีหลายวิธีค่ะ วิธีที่เก๋ที่สุดที่อยากจะแนะนำก็เป็นการนั่งรถไฟความเร็วสูงที่ใช้แรงแม่เหล็ก หรือจะใช้บริการแท็กซี่ หรือวิธีที่ดูง่ายและประหยัดที่สุดก็คงจะเป็นการนั่งรถไฟฟ้าที่เป็นระบบขนส่งมวลชลธรรมดานี่แหละค่ะ
         การท่องเที่ยววันแรกนั้นจะเป็นการชมเมืองเซี่ยงไฮ้ค่ะ ที่กล่าวไปแล้วว่าเซี่ยงไฮ้เป็นเมืองใหญ่ เมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจดังของเซี่ยงไฮ้จึงแลดูเป็นเมืองที่ศิวิไลซ์ มีตึกหนาแน่นไม่แพ้นครไหน ๆ ของโลก ย่านสำคัญของนครเซี่ยงไฮ้  ย่านตึกเก่าสไตล์โคโลเนียล ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำ Huangpu ย่าน The Bund นี้ก็คือย่านที่กิจการเงิน ทำให้เซี่ยงไฮ้กลายเป็นเมืองท่าและเมืองศูนย์กลางการเงินการธนาคารของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้จะผ่านช่วงเวลาในระบอบคอมมิวนิสต์มาก็ตามปัจจุบันย่าน The Bund ยังคงสวยงามด้วยตึกเก่าหลายสิบหลังที่มีอายุเก่าแก่นับร้อยปี รวมไปถึงร้านค้าแบรนด์เนมหรูหราต่าง ๆ จาก The Bund หากมองข้ามแม่น้ำ Huangpu ไปเราจะเห็นฝั่งตะวันออกของแม่น้ำที่เรียกว่าฝั่งผู่ตงซึ่งจะเป็นที่ตั้งของตึกระฟ้า  หอไข่มุก  ที่เป็นหนึ่งใน Landmark ของเซี่ยงไฮ้แต่ถ้าเดินย้อนกลับไปตามถนนหนานจิง  จะเป็นย่านถนนคนเดินและย่านห้างสรรพสินค้าช้อปปิงที่สำคัญย่านหนึ่งของเซี่ยงไฮ้ บรรดาร้านค้าแบรนด์เนมหรูหรา ไม่ว่าจะเป็น กระเป๋า รองเท้า นาฬิกา ต่างมีช้อป ใหญ่โตที่เซี่ยงไฮ้หลายสาขา (ช้อปจริง ๆ ของแท้นะค่ะ ไม่ใช้ช้อปของก๊อปปี้) แต่ใช่ว่าที่นี่จะมีแต่ของตะวันตก ข้าง ๆ กันเราก็อาจจะพบร้านกระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า แม้กระทั้ง เชนฟาสท์ฟูดแบรนด์ท้องถิ่น ด้วยเหมือนกัน
         ในตอนบ่ายดิฉันเดินทางไป Yu Garden   ที่นี่คือสวนค่ะ แต่ว่าเป็นสวนที่ถูกจัดอันดับว่า เป็นสวนแบบจีนที่สร้างตรงตามหลักสถาปัตยกรรมและปราณีตที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศนี้ ค่าเข้าชมความงามของสวนนี้ก็มีราคา 40 หยวนภายในจะพบกับสถาปัตยกรรมจีนหลายหลังในสวน การจัดสวนด้วยบ่อน้ำและหินขนาดใหญ่และต้นไม้ชนิดต่าง ๆ ด้านหน้าของ Yuyuan จะมีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านน้ำช้า นับเป็นย่านช้อปปิงที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของเซี่ยงไฮ้ และหากใครหลายคนเคยได้ยินมาว่า เซี่ยงไฮ้ขึ้นชื่อเรื่องซาลาเปาไส้ซุป หรือที่เรียกว่า เสี่ยวหลงเปา อร่อยมากๆๆเลยทีเดียว ที่ด้านหน้า Yuyuan นี้ก็มีร้านเสี่ยวหลงเปาที่ดังขึ้นชื่อหลายร้านเช่นกัน    ในตอนค่ำ ดิฉันข้ามจากฝั่งตะวันตกของเซี่ยงไฮ้ที่เรียกว่า ผู่ซี ไปยังฝั่งผู่ตง หรือฝั่งตะวันออก เพราะว่าค่ำวันนี้ดิฉันจะขึ้นไปชมวิวบนตึกที่สูงที่สุดในเซี่ยงไฮ้ และบนจุดชมวิวที่สูงที่สุดในโลกในปัจจุบัน นั่นคือที่ตึก Shanghai World Financial Center ซึ่งเป็นอาคารที่ใช้ทั้งเป็น ห้างสรรพสินค้า สำนักงาน โรงแรม และจุดชมวิวตึกนี้มีความสูงถึงยอดตึก 487.4 เมตร และครองตำแหน่งตึกที่มีความสูงถึงยอดตึก (World's tallest building Rooftop) สูงที่สุดในโลกอยู่สองปี จนกระทั้งตึก เบิร์จ คาลิฟาในดูไบ แซงไปเมื่อปี 2553 สำหรับจุดชมวิวที่เปิดให้คนทั่วไปขึ้นไปได้นั้นมี 3 ระดับที่ชั้น 94 97 และ 100 ซึ่งจะสูงจากพื้น 423 439 และ 474 เมตร ตามลำดับ ค่าเข้าชมประเภทเข้าได้ทั้งสามชั้นราคา 150 หยวน โดยความพิเศษของชั้น 100 คือพื้นของจุดชมวิวบางช่วงจะเป็นกระจกใสทำให้มองเห็นพื้นด้านล่างในแนวดิ่งได้ด้วย  ที่สูงที่สุดตอนนี้ 
          วันรุ่งขึ้น ดิฉันเลือกออกเดินทางไปเที่ยวเมืองข้างเคียงของเซี่ยงไฮ้อย่างเมืองซูโจว เซี่ยงไฮ้มีเมืองใกล้ ๆ ที่น่าไปเที่ยวอีกหลายเมืองเช่นหังโจว ซูโจว โจวจวง อู๋ซี ฯลฯ ซึ่งสามารถเดินทางไปได้อย่างสะดวกโดยรถไฟ จริง ๆ แล้วเมืองเหล่านี้ก็ไม่ได้อยู่ใกล้เซี่ยงไฮ้นัก คือห่างไปราว 100-250 กม. แต่ด้วยระบบรถไฟของจีนที่ดีมาก รถไฟความเร็วสูงนั้นมีความเร็วสูงสุดถึงกว่า 200 กม. ต่อชั่วโมง ทำให้เดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ โดยใช้เวลาไม่นาน การเดินทางไปซูโจวจากเซี่ยงไฮ้ก็ใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นสถานที่ดิฉันไปชมที่ซูโจวนั้นไปชมเขาเนินเสือ  หรือภาษาจีนเรียกว่าหู่ชิว ซึ่งมีลักษณะคล้าย ๆ อุทยาน มีบ่อน้ำและสวน รวมไปถึงจุดเด่นคือเจดีย์ที่เอียงแต่ไม่ล้มเหมือนหอเอนเมืองปิซา นอกจากเขาเนินเสือแล้วสถานทีท่องเที่ยวของซูโจวยังมีอีกหลายแห่งเช่นบรรดาสวนต่าง ๆ ดิฉันเดินทางไปยังวัดพระหยก ซึ่งประดิษฐานพระหยกองค์หนึ่งที่มีความงดงาม กราบไหว้ขอพรเพื่อเป็นสิริมงคล ก่อนจะกลับกรุงเทพฯ เมืองเซี่ยงไฮ้เป็นเมืองสินค้าแบรนด์เนมเยอะมากๆๆๆเป็นเมืองที่สวยงามน่าอยู่


ขอบคุณสำหรับข้อมูลและภาพสวยๆค่ะ
http://www.prthaiairways.com
http://www.prthaiairways.com
http://www.thaimoderntravel.com