วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เที่ยวเมืองแห่งสวยงาม ซูโจว


ซูโจว


          เมืองซูโจว มีชื่อเดิมว่า "เมืองกู่ซู" เมืองซูโจวเป็นเมืองที่มีความสวยงามไม่น้อยกว่าเมืองหังโจว ที่มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 2,500 ปี และได้รับสมญานามว่า “เมืองแห่งสาวงาม ” ซึ่งอดีตในแถบนี้ได้ชื่อว่า “เจียงหนาน” อุดมไปด้วยพืชพรรณธัญญาหารและสาวเจียงหนานที่มีความสวยงามเป็นเลิศ เป็นสถานที่ที่มีสวนคลองต่างๆมากมาย เป็นอันดับหนึ่งในลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียงตอนใต้และได้ชื่อวาเป็นเมืองแห่งสาวงามอีกทั้งเป็นเมืองที่งดงามมากจนได้รับฉายาว่า “เมืองสวรรค์ในโลกมนุษย์” สิ่งก่อสร้างต่างๆมากมายแบบจีนในเมืองซูโจว มณฑลเจียงซู ประเทศจีน  เมืองซูโจว ได้ขึ้นเป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ.2540
สุดยอดสวนโบราณซูโจวที่เลื่องชื่อและเป็นมรดกโลก ได้แก่
        
  1.สวนจัวเจิ้ง เป็นสวนที่สร้างในสมัยราชวงศ์หมิง รัชกาลเจิงเต๋อ ปีที่ 4 ตรงกับค.ศ.1509 มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของสวนโบราณทั้งหมดในเมืองซูโจว ถึง 51,590 ตรม. โดดเด่นในด้านภูมิทัศน์ทางน้ำซึ่งกินพื้นที่ถึง 3 ใน 4 ของพื้นที่ทั้งหมด โชว์ศิลปะการไหลเวียนตามธรรมชาติ ที่เรียบง่ายแบบคลาสิคสมัยหมิง นอกจากนี้ ยังตบแต่งประดับประดาด้วยโคลงคู่และภาพวาดพู่กันจีน เนื่องจากมีศิลปินกวีแห่งเจียงหนันร่วมในการออกแบบ
          
2.สวนหลิว สร้างในสมัยราชวงศ์หมิงเช่นกัน แต่หลังสวนจัวเจิ้ง 80 กว่าปี ในรัชสมัยวั่นลี่ ปีที่ 21 (ค.ศ.1593) มีพื้นที่ 23,310 ตรม. ในอดีตมีชื่อว่า ‘สวนตะวันออก’ เป็นสวนศิลปะเจียงหนันขนานแท้ โดดเด่นด้านการจัดวางและช่องว่าง มีการโชว์ลูกเล่นของลักษณะความแตกต่างทางสถาปัตยกรรรมที่สร้างมุมมองระดับต่างๆได้อย่างงดงามลงตัว ที่มีทั้งโครงสร้างสถาปัตยกรรมแบบยาว-สั้น สูง-ต่ำ ใหญ่-เล็ก หรือที่นำสายตาด้วยเส้นโค้ง-ตรง หรือขยาย-ย่อสัดส่วนพื้นที่ ตลอดจนการเล่นแสงเงา มืด-สว่างตามมุมต่างๆของอาคาร เป็นต้น
         
3.สวนหวั่งซือ สร้างในสมัยซ่งใต ้(คศ.1127-1279) บูรณะใหม่ในรัชสมัยเฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิง (คศ.1736-1796) สวนหวั่งซือ พื้นที่ 5,400 ตรม. ขนาดเล็กเพียง 1 ใน 6 ของสวนจัวเจิ้ง เป็นสวนในที่พักอาศัยแบบคลาสิคของเจียงหนัน แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ด้านตะวันออกเป็นเรือนพักอาศัย ด้านตะวันตกเป็นสวน ใจกลางมีสระน้ำขนาด 440 ตรม. พร้อมด้วยระเบียงทางเดิน เก๋งจีน ศาลาริมน้ำอยู่ภายในสวน เฟอร์นิเจอร์และโคมไฟที่ประดับภายในอาคาร ก็เป็นศิลปะยุคราชวงศ์หมิง
            
4.สวนชางลั่งถิง หรือ สวนพลับพลา เกลียวคลื่น เป็นสวนเก่าแก่ที่สุดในจำนวนสวนโบราณซูโจวทั้งหมด ชื่อของ 'ชางลั่งถิง' หรือพลับพลาเกลียวคลื่น ปรากฏขึ้นครั้งแรกในศิลาจารึกแผนที่เมืองผิงเจียง (ซูโจว ค.ศ.1229) สมัยราชวงศ์ซ่ง และยังมีบันทึกการเอ่ยชื่อ ‘พลับพลาชางลั่งถิง’ โดยกวีในสมัยเดียวกันด้วย
           
5.สวนซือจึหลิน หรือ สวนป่าสิงโต  เด่นด้านภูเขาจำลองและหินรูปสิงโต ที่มาของชื่อสวน สวนป่าซือจึหลิน มีพื้นที่ 1,152 ตรม. เป็นสวนสมัยศตวรรษที่ 14 ส่วนที่โดดเด่นที่สุดของสวนแห่งนี้คือ ภูเขาหินจำลองที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์ และสิ่งปลูกสร้างรอบๆทะเลสาบ รวมถึงน้ำตกและหน้าผาจำลองริมทะเลสาบ ยังมีการสร้างเขาวงกต ที่ประกอบด้วยถ้ำ ทางเดิน และปลูกต้นไซปรัสและสนโบราณ
ดิฉันจะเดินทางสู่เมืองซูโจวซึ่งเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อว่ามีคลองมากมาย เป็นเวนิสตะวันออกของจีน ลักษณะเมืองจะพยายามอนุรักษ์หรือไม่งั้นก็สร้างสิ่งก่อสร้างเลียนแบบของโบราณ เช่นพวกเก๋งจีน กำแพงเก่าๆ
ดิฉันแวะพักทานอาหารเที่ยงซึ่งไม่ค่อยมีอะไรอร่อยเท่าไหร่ จะออกมันๆ ซะมากสภาพบ้านเมืองที่นี่ดูเป็นธรรมชาติและเงียบสงบกว่าหังโจว นั่งรถไปก็จะเห็นคลองมากมาย คลองที่นี้ขนาดก็กว้างขวางมาก ว่ากันว่าสมัยโบราณฮ่องเต้สั่งให้คนขุดขึ้นมาเพื่อใช้ลำเลียงสินค้าไปส่งยังเมืองหลวง
ดิฉันเดินทางไปวัดซีหยวน ซึ่งรอบๆ วัดจะมีต้นแป๊ะก้วยสีเหลืองอร่าม ต้นแป๊ะก้วยจะมีสองเพศคือ ตัวผู้กับตัวเมีย ต้องปลูกไว้คู่กัน ไม่งั้นจะไม่มีลูก คนจีนไม่ค่อยรับประทานแป๊ะก้วยแต่จะส่งออกไปขายมากกว่าภายในวัดมีจุดเด่นคือ พระอรหันต์ 500 รูป ว่ากันว่าถ้าจะนับว่ามีครบต้องนับจนได้ถึง 500 จะลองนับครึ่งๆ กลางๆ ไม่ได้จะทำอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ มีการทำนายดวงชะตาด้วย ผู้ชายให้วนจากด้านซ้าย ผู้หญิงให้วนจากด้านขวา นับไปเรื่อยๆ โดยนับตามอายุบวกหนึ่ง จนถึงพระองค์ใด ให้ดูเลขกำกับ แล้วมาหยิบคำทำนาย นอกจากนั้นยังมีเจ้าแม่กวนอิมพันมือพันตา จี้ก้ง ทวารบาลทั้งสี่ซึ่งหน้าตาน่ากลัวมากบรรยากาศภายในวัดดูสงบร่มรื่นดี อันที่จริงเราน่าจะได้เดินดูอะไรมากกว่านี้ เพราะดูจากแผนที่แล้วเหลืออีกหลายศาลาที่ดิฉันยังไม่ได้เข้าไปเลยแต่เวลากระชั้นมาก ทำให้ดิฉันต้องออกเดินทางต่อไปสวนหลิวหยวน ซึ่งเป็นมรดกโลก และเป็นหนึ่งในสี่ของสวนสวยของเมืองจีน ใช้เวลาก่อสร้างกว่า 40 ปี ภายในจัดแบ่งเป็นโซนๆ มีทั้งห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น สวนแบบต่างๆ สระน้ำ มีพันธุ์ไม้หลากหลาย จุดเด่นคือ หินสวยงามรูปหงส์ ซึ่งติดอันดับความสวยงามหนึ่งในสี่ของประเทศจีน มีหินอ่อนที่มีลายแปลกๆ ซึ่งเกิดจากธรรมชาติ มองไปเหมือนรูปวิวทิวทัศน์

ขอบคุณข้อมูลและภาพสวยๆ
http://thai.cri.cn
http://www.tourtooktee.com

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

เมืองโบราณจงเตี้ยน



เดินทางออกจากลี่เจียง ณ จุดโค้งแรกแม่น้ำแยงซี มาจนเข้าเขตชายขอบที่ราบสูงธิเบต ในเขตที่เรียกว่า "เขตปกครองตนเองชนชาติธิเบตแห่งตี๋ชิง"  ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองจงเตี้ยน ภูมิประเทศส่วนนี้เป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ พลเมืองส่วนใหญ่เป็นชนชาติธิเบต เขตจังหวัดตี๋ชิงนี้อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือสุดของมณฑลยูนนาน ติดที่ราบสูงธิเบต และเป็นรอยต่อกับมณฑลเสฉวน
ดิฉันอยู่ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล ๓๓๐๐ เมตร อาการ ส่งผลค่อนข้างชัด มีตั้งแต่เวียนศีรษะ คลื่นไส้ ผะอืดผะอม คำว่า"จง" นั้นหมายถึงศูนย์กลาง หรือ สิ่งที่กว้างใหญ่อันเป็นศูนย์กลาง ส่วน"เตี้ยน" นอกจากจะแปลว่าทุ่งหญ้า แล้ว ยังอาจแปลว่า อาณาจักร ได้ด้วย
ความที่ดินแดนที่ราบสูงธิเบตมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรล้ำค่าจากธรรมชาติ แต่เข้าถึงยาก ทำให้เป็นเหมือนดินแดนต้องห้าม และประตูแห่งจงเตี้ยนยังปิดตายจากสายตาโลกภายนอกตลอดช่วงที่จีนเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์ตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๔๙๒ ซึ่งก็เป็นธรรมดาของมนุษย์ที่อะไรที่เขาห้ามเนี่ย ดูช่างท้าทายให้ค้นหา ประจักษ์แก่สายตาตนเองให้ได้
จากนั้นใครๆก็พากันเสาะหาว่าดินแดนจุดใดของที่ราบสูงธิเบตที่เป็นแรงบันดาลใจให้เจมส์ ฮิลตัน เขียนนิยายเรื่องนี้ เจ้าหน้าที่จีนในยุค Visit China Year จึงไม่รีรอที่จะโหนกระแสนี้และระบุหลายจุดทีเดียวที่ถูกกล่าวอ้างว่าเป็นเมืองแมนแดนสวรรค์ แน่นอนที่"จงเตี้ยน" ก็เป็นหนึ่งในนั้น
ในปีพ.ศ. ๒๕๔๕ รัฐบาลจีนได้เปลี่ยนชื่อ เมืองจงเตี้ยน ( จากเดิมที่มีชื่อในภาษาธิเบตว่า เจี้ยนถัง)เป็น "แชงกริ-ล่า" ให้ชัดๆเป็นทางการซะเลยแน่ะ แต่ภาษาจีนเขาออกเสียงว่า "เซียงเกอ หลี ลา" แปลว่า ที่ซึ่งสุริยันจันทราประทับในดวงจิตนี่ยังไม่ได้เข้าในเมืองจงเตี้ยน ที่เห็นแต่ไกลเป็นจุดสีทองคือ
วัดธิเบต "ซงจ้านหลิน" ที่ดิฉันจะแวะก่อน มองแต่ไกลงามสง่าละม้ายคล้าย พระราชวังโปตาลา ที่กรุงลาซา ของธิเบตวัดนี้สร้างในสมัยทะไลลามะองค์ที่ ๕ ด้วยศิลปะสถาปัตยกรรมอันอลังการน้องๆพระราชวังโปตาลา เลยได้อีกสมญาว่า Little Potala 
วัดนี้เขาพามาชมเพราะเป็นวัดนิกายลามะแบบธิเบตที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลยูนนาน อายุเก่าแก่กว่า ๓๐๐ ปี กว่าจะไต่บันไดขึ้นไปนมัสการ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรได้ก็พักไปเป็นระยะ เขาให้ทำอะไรช้าๆ ไหว้เสร็จออกมานั่งพักมองดูพระวัยรุ่นห่มจีวรสีออกแดงน้ำตาล ใส่รองเท้าผ้าใบไนกี้ เดินกันจีวรปลิว
ออกจากวัดจึงเข้าสู่ตัวเมืองจงเตี้ยนแม้ผู้คนที่เราพบเห็นจะยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นมิตรมาก เสื้อผ้าแบบพื้นเมืองธิเบตประยุกต์เข้ากับกางเกงยีนส์และบูทสูง แต่ตัวเมืองจงเตี้ยนนั้นช่างไร้เสน่ห์แห่งธิเบตอย่างสิ้นเชิง เห็นแต่ตึกแถวแท่งๆแบบจีนๆ ไม่มีวิสัยทัศน์เรื่องความงาม คุณธีรภาพ โลหิตกุลใช้คำ"สถาปัตยกรรมที่ดูไร้รสนิยม" เพราะฉะนั้นความงามของแชงกริ-ล่า จึงไม่ได้อยู่ในตัวเมืองจงเตี้ยนแน่นอน นักท่องเที่ยวฝรั่งมักมาที่จงเตี้ยนเพื่อเป็นจุดเดินทางต่อไปยังธิเบตโดยเครื่องบิน

อย่างไรก็ตามที่นี่เขาก็มี"เมืองโบราณจงเตี้ยน" ที่รัฐบาลจีนบูรณะให้งดงามจากการมองเห็นความสำเร็จของ"เมืองโบราณต้าหยัน" ที่ลี่เจียง แต่เป็นการพยามสร้างขึ้นใหม่ในแบบโบราณ ของเก่าเหลือแค่บ้านชาวธิเบตที่อายุ ๔๐๐ ปี หลังเดียวที่รอดจากน้ำมือพวกเรดการ์ด ในสมัยปฏิวัติวัฒนธรรม  ที่รอดมาได้ก็เพราะพวกเรดการ์ดใช้เป็นที่พักแวะเดินชมเมืองโบราณ(ปลอมๆ) แล้วก็พากันเดินลึกเข้าไปถึง วัดต้าฝอ อยู่บนเนินเขาใจกลางเมืองโบราณจงเตี้ยน  "กงล้อมนตราทองคำ" ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก น้ำหนัก ๖๐ ตัน สูง ๑๙ เมตร จารึกบทสวดมนต์ ๑๒,๔๐๐ ล้าน ตัวอักษรตามความเชื่อของพุทธศาสนานิกายมหายานตันตระแบบธิเบตนี้ เขาบอกว่าการหมุนกงล้อที่เป็นแท่งเหล็กจารึกบทสวดมนต์นี้เปรียบเสมือนได้สวดมนต์โดยไม่ต้องสวดเอง ใช้วิธีลัดก็ได้บุญ ดังไปถึงสวรรค์นั่นแน่ะนี่กงล้อมนตราแบบธรรมดา และนี่กงล้อมนตราที่ใหญ่ที่สุดในโลก ให้เปรียบเทียบกันดูเขามีแกนให้จับแล้วช่วยกันหมุน

วันรุ่งขึ้นบินกลับลงไปที่คุนหมิง เพื่อต่อเครื่องกลับกรุงเทพ ลงมาที่ต่ำแค่ ๑๘๐๐ เมตรจากระดับน้ำทะเล สมกับที่ชื่อว่า "เมืองที่มีฤดูใบไม้ผลิตลอดปี" ความเจริญของคุนหมิงนั้นน่าทึ่ง และมีคนบอกว่าอสังหาริมทรัพย์แพงกว่ากรุงเทพเสียอีก
ขอบคุณข้อมูลและภาพสวยๆๆ

http://www.mickotravel.com
http://abroadtour.com

เขาเซียงซาน


     
     เขาเซียงซาน  เป็นอีกสถานที่ที่คุณควรเพิ่มไว้ในโปรแกรมการท่องเที่ยวของคุณ ด้วยตำแหน่งที่ตั้งที่อยู่ห่างจากตัวเมืองปักกิ่ง ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ 20 กิโลเมตร จึงไม่ใช่เรื่องยากในการเดินทางไปเขาเซียงซาน

      ภูเขาแห่งนี้มีความสำคัญและโด่งดังก็เนื่องมาจาก ความเป็นสถานที่พักผ่อนของจักรพรรดิจีนตั้งแต่ราชวงศ์ จิน หยวน หมิง จนมาถึงราชวงศ์หลังสุดคือ ชิง โดยในรัชสมัยของ เฉียนหลงฮ่องเต้ การก่อสร้างพระตำหนักและเก๋ง เพื่อชมทิวทัศน์ขององค์จักรพรรดิ ได้ขับให้ภูเขาแห่งนี้ให้มีความงดงามยิ่งขึ้นไปอีก ทั้งนี้ ช่วงเวลาของการชมใบไม้แดงแบบสมบูรณ์ที่เซียงซาน ในแต่ละปีนั้นนับว่าสั้นมาก คืออยู่ที่ราว 2-3 สัปดาห์ ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวก็ขึ้นอยู่กับว่าอากาศในแต่ละปีเป็นเช่นไร ความไม่แน่นอนดังกล่าวทำให้ นักท่องเที่ยวหลายคนผิดหวัง บ้างไปเร็วเกินก็มีโอกาสเพียงได้เห็นใบไม้แดงตัดกับใบไม้เหลือง-เขียวเล็กน้อย แต่หากไปช้าก็ถือว่าเสียเที่ยว เพราะจะเหลือแค่กิ่งไม้แห้งๆ ไว้ให้ชมแค่นั้น

      เกือบทุกปีที่เซียงซาน ในช่วงเวลาที่ใบไม้แดงนี้จะมี เทศกาลใบไม้แดง ซึ่งนักท่องเที่ยวนอกจากจะได้ชมใบไม้แดงแล้ว ยังมีโอกาสได้เดินเล่นตามถนนขึ้นสู่ประตูทางเข้า โดยตลอดสองข้างทางนั้น มีการขายของที่ระลึก อาหาร ขนมเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น สายไหม เนื้อแพะ-นกกระจอกทอด ปอเปี๊ยะ
(ชุนจ่วนร์) มันเผา ข้าวโพดปิ้ง นอกจากนี้ยังเพิ่มสีสันด้วย ศิลปินริมทางที่มาตั้งเก้าอี้รับจ้างวาดรูปเหมือนมากมายหลายเจ้า ในช่วงสุดสัปดาห์ที่นี่จะพลุกพล่านไปด้วยผู้คนนับพันนับหมื่นคนที่ต่างหลั่งไหล มาจากทุกสารทิศ หากชอบความสงบแล้วควรหลีกเลี่ยงช่วงวันหยุดและเดินทางมาในวันธรรมดาจะดีกว่า ระหว่างเดินขึ้นเขา ถ้าหากพอมีเวลา อาจจะแวะเวียนไปที่

วัดเก่าแก่ชื่อ วัดเมฆหยก (ปี้หยุนซื่อ) ศาสนสถานที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หยวน บนเขาเซียงซานจะมีจุดชมทิวทัศน์ที่สูงที่สุดชื่อ เซียงหลูเฟิง ซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเล 557 เมตร
      ในการขึ้นเขาเซียงซาน คุณเลือกที่จะเดินขึ้นก็ได้ หรือถ้าชอบสบายก็นั่งกระเช้าขึ้นไปก็ได้ ตลอดทางขึ้นเขาเซียงซานหากมองลงมายังทิวทัศน์เบื่องล่างก็จะเห็นเทือกเขาสลับสี ที่งดงามมาก อัตราค่าเข้าชม: 10 หยวน
ขอบคุณข้อมูลและภาพสวยๆๆ
http://travel.thaiza.com/detail

เที่ยวเมืองอู๋ซี......เซี่ยงไฮ้น้อย


     
     วันนี้ ดิฉันจะเดินทางออกจากนครเซี่ยงไฮ้ ไปทางทิศตะวันตกประมาณ 128 กิโลเมตร เพื่อไปเที่ยว  ชม อู๋ซี เมืองเก่าที่งดงามแห่งหนึ่งของมณฑลเจียงซูค่ะ
     อู๋ซี  มีประวัติมากกว่า 3,000 ปี เป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ เพราะอยู่ริมทะเลสาบไท่หู ที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ติดต่อกับสองมณฑล คือมณฑลเจ้อเจียงและมณฑลเจียงซู เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของจีน มีการเพาะเลี้ยงไข่มุกน้ำจืดที่ขึ้นชื่อของประเทศจีน มีทิวทัศน์สวยงามที่สุดในตอนใต้ของแม่น้ำแยงซี จัดเป็นเมืองท่องเที่ยว 10 อันดับแรกของจีน แต่ละปีรองรับนักท่องเที่ยวหลายสิบล้านคน การวางผังเมืองอู๋ซีเป็นไปตามลักษณะของเมืองยุคเก่าของจีนอีกหลายเมือง คือมีลักษณะเป็นรูปวงกลม ภายในเมืองมีคลองเก่าหลายสายตัดไขว้กันไปมา ปัจจุบันคลองสายหลักยังเป็นเส้นทางสัญจรของเรือขนาดใหญ่
     หลี่หู   เป็นทะเลสาบอีกแห่งหนึ่งในเมืองอู๋ซี มีอีกชื่อหนึ่งว่า ทะเลสาบอู่หลี่ เนื่องจากยุคสมัยชุนชิวและจ้านกั๋วของจีน นายฟ่านหลี่ บุคคลชื่อดังในสมัยนั้นเคยล่องเรือกับหญิงงามนามไซซีในทะเลสาบแห่งนี้ จึงได้ชื่อว่า "หลี่หู" ริมทะเลสาบนี้มีทิวทัศน์หลายสิบแห่งเป็นสวนสาธารณะที่เปิดให้บริการฟรีต่อประชาชน นับเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่ดี ยามพลบค่ำ ชาวเมืองและนักท่องเที่ยวมักจะชอบมาเดินเล่นตามทะเลสาบ ท่ามกลางแสงไฟหลากสี และลมพัดเย็นสบาย ทำให้รู้สึกสดชื่นมาก คุณจ้าวเป็นชาวเมืองอู๋ซีที่พักอยู่บริเวณใกล้ทะเลสาบแห่งนี้ เธอกล่าวว่า ทะเลสาบหลี่หูในเวลากลางคืนมีเสน่ห์มาก"ทะเลสาบหลี่หูมีทิวทัศน์ที่สวยงามมากอยู่แล้ว แสงไฟยิ่งเพิ่มสีสันและความงามให้ ถ้าไปนั่งชิงช้าสวรรค์ชมวิว ยิ่งดูสวยงามมากทีเดียวค่ะ"ทิวทัศน์ยามราตรีของที่นี่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างท้องถิ่นด้วย คุณจางมาจากนครเซี่ยงไฮ้กล่าวว่า"กลางคืนมาที่นี่ วิวสวย อากาศก็เย็นสบาย เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่ดี เมื่อรับประทานอาหารเย็นเสร็จ ก็อยากจะมาเดินเล่นแถวนี้


การไปเที่ยวกลางคืน ต้องไม่ควรพลาดการชิมอาหารพื้นเมือง ถนนชิงสือเป็นตลาดอาหารพื้นเมืองที่มีชื่อเสียงของเมืองนี้ สร้างขึ้นเมื่อเดือนกรกฏาคมปี 2000 สองข้างทางเป็นสถาปัตยกรรมแบบยุโรป ด้วยการพัฒนาเป็นเวลาหลายปี ได้กลายเป็นแหล่งดึงดูดใจทั้งชาวเมืองอู๋ซีและนักท่องเที่ยวจากต่างท้องถิ่นด้วย บนถนนสายนี้ มีอาหารมากมายหลายประเภท มีทั้งจำพวกปิ้งย่าง สุกี้หม้อไฟ อาหารเสฉวน อาหารหูหนาน และอาหารพื้นเมืองต่างๆด้วย นับเป็นแหล่งรวมอาหารพื้นเมืองรสชาติดีของจีนแห่งหนึ่ง ชาวเมืองอู๋ซีรู้จักถนนชิงสือกันเกือบทุกคน ส่วนนักท่องเที่ยวต่างถิ่นไปเมืองอู๋ซีแล้วก็ต้องแวะไปที่ถนนสายนี้ กล่าวได้ว่า การพัฒนาของถนนชิงสือได้ผลักดันการพัฒนากิจการท่องเที่ยวและธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในยามราตรีของเมืองนี้

หากนักท่องเที่ยวสนใจอาหารพื้นเมืองขนานแท้ของเมืองอู๋ซี ก็เชิญไปตลาดอาหารที่ตั้งอยู่ถนนเป่ยถางต้าเจีย ซึ่งตั้งอยู่ริมคลองโบราณอายุพันปี ยาว 680 เมตร สองข้างถนนมีแผงขายอาหาร กว่า 120 แผง มีอาหารสารพัดอย่างคอยรองรับนักชิมทั้งหลาย

หากอยากจะไปช็อปปิ้งกลางคืน ต้องไปถนนจงซาน ซึ่งเป็นย่านการค้าที่มีมูลค่าการจัดจำหน่ายอยู่อันดับที่ 7 ของทั่วประเทศจีน และเป็นแหล่งช็อปปิ้งที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของชาวเมืองอู๋ซี ถนนจงซานในตอนกลางคืนไม่จอแจเหมือนตอนกลางวัน ถนนคนเดินที่กว้างใหญ่ ดอกไม้ใบหญ้า รวมทั้งแสงไฟหลากสีสันที่อยู่สองข้างทางตกแต่งให้ถนนสายนี้ แลดูสวยงามยิ่ง กล่าวสำหรับชาวเมืองอู๋ซีแล้ว ไปถนนจงซาน ทั้งได้พักผ่อนหย่อนใจและหาซื้อสินค้าที่ตนเองชอบได้ด้วย"ที่นี่เป็นย่านการค้าที่คึกคักที่สุดของเมืองอู๋ซี มีสินค้าสารพัดอย่าง มากกว่าในห้างสรรพสินค้าเสียอีก แถมต่อรองราคาได้"นอกจากร้านค้าเล็กๆแล้ว ถนนจงซานยังมีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่หลายแห่งตั้งอยู่ ถ้านักช็อปทั้งหลายไปถึงแล้ว จะชอบใจมากเลยทีเดียว

จริงๆแล้ว ไปเที่ยวเมืองอู๋ซีในเวลากลางคืน ยังมีอีกหลายจุดที่น่าสนใจ อย่างเช่น จตุรัสไท่หู วัดขงอาน วัดหนานฉัน ถนนบาร์เบียร์หูปิง เป็นต้น ถ้ามีโอกาส เชิญไปท่องราตรีที่เมืองอู๋ซีนะคะ
ขอบคุณข้อมูลและภาพสวยๆค่ะ
http://www.oknation.net

วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2555

ภูเขาหิมะมังกรหยก



        
ภูเขาหิมะมังกรหยก หรือ อวี้หลงเซี่ยซาน ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเก่าลี่เจียง เป็นภูเขาสูงที่ตั้งตระหง่าน ซึ่งมีหิมะปกคลุมอยู่ตลอดทั้งปี ทิวเขาแห่งนี้ประกอบไปด้วยสภาพแวดล้อมต่างๆ ทั้งหุบห้วย ธารน้ำ แนวผา และทุ่งหญ้าน่าซี ทิวเขาแห่งนี้เมื่อมองจากระยะไกล จะเห็นเป็นลักษณะคล้ายมังกรกำลังเลื้อย สีขาวของหิมะที่ปกคลุมอยู่นั้นดูราวกับหยกขาว ที่ตัดกับสีน้ำเงินของท้องฟ้า คล้ายมังกรขาวบนฟากฟ้า ทิวเขาแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า ภูเขาหิมะมังกรหยก 

      สามารถนั่งกระเช้าไฟฟ้า ขึ้นสู่จุดชมวิวบนยอดเขาที่ความสูงกว่า 3,356 เมตร และสูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 4,506 เมตร เพื่อชมวิวทิวทัศน์และธรรมชาติบนจุดที่สวยงามที่สุด ตลอดสองข้างทางที่ขึ้นยอดเขา ชื่นชมและดื่มด่ำกับความหนาวเย็นของธรรมชาติ อีกทั้งภูเขาหิมะมังกรหยกแห่งนี้ ยังเป็นที่มาของตำนาน ชนเผ่าน่าซี ที่อาศัยอยู่ในเขตที่ราบแถบนี้มานานนับพันปี ทิวเขาแห่งนี้มีพันธุ์พืชปกคลุมอย่างหนาแน่น ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้ป่าจะผลิบานมีสีสันตระการตา ผู้คนจะพากันต้อนสัตว์เลี้ยง พวก แพะ แกะ และจามรีเพื่ออกมากินหญ้า
   
   
ฉันได้ไปดูหิมะสวยๆ บนเขาหิมะมังกรหยกหรือ Yulong Mountain ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองลี่เจียงออกไปประมาณ 40 กิโลเมตร โดยการว่าจ้างแท๊กซี่ให้ไปส่งยังจุดที่ขึ้นรถบัส ซึ่งจะต่อไปยังจุดที่จะขึ้นเคเบิลคาร์ ซึ่งจะอยู่ที่ระดับ 3,300 เมตรจากระดับน้ำทะเล ที่นั่นมีนักท่องเที่ยวเยอะมากรอขึ้นเคเบิลคาร์ จุดที่เคเบิลคาร์ไปส่ง จะเป็นระดับที่สูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 4,500 เมตร ซึ่งอากาศจะหนาวมากๆๆ เห็นลานหิมะเต็มไปหมด มีทางเดินสำหรับให้เดินขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์ ในระดับความสูงที่มากขึ้น ระหว่างที่เดิน ฉันรู้สึกหายใจขัดๆเล็กน้อย ต้องค่อยๆเดินค่ะ เพราะอากาศที่นั่นค่อนข้างเบาบาง ฉันได้ไปชมสวนสระมังกรดำ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองลี่เจียง ในนั้นจะเป็นสวนที่มีสระขนาดใหญ่ บรรยากาศผ่อนคลาย มีภาพของภูเขาหิมะมังกรหยกอยู่เบื้องหลัง สวยงามมากจนทำให้นึกไปถึงภาพวาดพู่กันแบบจีนที่จะเห็นเป็นภาพของสวน เก๋งจีน สระน้ำ สะพานหิน รายล้อมด้วยภูเขาสูงใหญ่ ขาดแต่ไม่มีภาพของหญิงที่แต่งกายโบราณแบบจีนยืนเป็นนางแบบเท่านั้น ภูเขาหิมะมังกรหยกเนี่ยนับเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของชนเผ่าต่างๆ ในลี่เจียงค่ะมีทั้งหมด 12 ยอด ยอดที่สูงที่สุดของเทือกเขานี้สูงจากระดับน้ำทะเล 5,596 เมตร ยอดสูงที่สุดชื่อ ซานจือโต่วแม้จะสูงเพียง 5,596 เมตร แต่ว่ากันว่าทุกวันนี้ยังไม่มีมนุษย์คนใดสามารถพิชิตยอดเขาซานจือโต่วนี้ได้สำเร็จ ว่ากันว่ามองดูแล้วเขาแห่งนี้มีลักษณะคล้ายมังกรนอนอยู่บนก้อนเมฆ จึงเป็นที่มาของชื่อค่ะ  ฉันขึ้นไปบนภูเขามังกรหยกหิมะหยู่หลงสโนว์(Yulong Snow Mountain)ฝันแรกที่อยากมาดูนานแล้ว อยู่ห่างจากตัวเมืองลี่เจียงไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 35 ก.ม. ชาวเผ่าน่าซี่ในหัวใจนับถือว่าเป็นภูเขาที่สิงสถิตย์ของเซียนเทพยาดา มีความสูงประมาณ 5,596 เมตร หิมะปกคลุมตลอดปี แถบทุ่งหญ้าที่ราบสูงเป็นเทือกเขาทรุดตัวมี 12 ยอด สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 4,500 เมตร ยอดที่สูงที่สุดของมังกรหยกหิมะหยู่หลงสโนว์ชื่อ “ส้านจื่อถู Shanzi dou” เป็นภูเขาที่มีหิมะอยู่ใกล้ทวีปเอเซีย – ยุโรปมากที่สุด มีมหาสมุทรธารน้ำแข็งใหม่ 19 แห่ง และเมื่อปีค.ศ.2001 ได้ถูกนับให้เป็นน้องยอดภูเขามัทเทอร์ฮอน(Matterhorn Peak) ของเทือกเขาแอลป์(Alpines)ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ค่าผ่านด่านเข้าไปยังภูเขาราคา 80 หยวนหรือเกือบสี่ร้อยบาท สามารถไปขึ้นกระเช้าถึงลานทุ่งหญ้า “หยินซานผิง”และภูเขาหิมะใหญ่ ทิวทัศน์ข้างบนนี้สวยงาม แต่จะมีปัญหาสำหรับบางคนที่แพ้ความสูง อาจจะเกิดอาการเหนื่อยปวดหัวเดินไม่ไหวและหายใจไม่ออก เนื่องจากอากาศเบาบางมีน้อย จึงต้องหยุดพักและซื้อออกซิเจนที่มีวางขายเป็นถังเล็กๆ เอาใว้ใช้สูดเพิ่มอ๊อกซิเจนเข้าไปในปอด กระเช้าขึ้นชมวิวภูเขามังกรหยกหิมะหยู่หลงสโนว์มีอยู่ถึงสามแห่งในเวลานี้ เลือกได้ตามใจวิวสวยงามมากๆทุกที่ได้ระดับชั้นสุดยอดที่ท่องเที่ยว 5 ดาวของการท่องเที่ยวแห่งประเทศจีนมหัศจรรย์ความสวยภูเขามังกรหยกหิมะหยู่หลงสโนว์
ขอบคุณข้อมูลและภาพสวยๆ
http://www.holidaythai.comhttp
http:www.gotoknow.org

วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เมืองโบราณเฟิ่งหวงกับมนต์เสน่ห์แห่งม่านหมอก


เมืองโบราณเฟิ่งหวง(fenghuang)



                    เมืองโบราณเฟิ่งหวง  (fenghuang)  ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกของมณฑลหูหนาน สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิง มีประวัติกว่า 400 ปี เนื่องจากเขาหนานหัวที่อยู่ทางใต้ของเมืองมีรูปร่างเหมือนหงส์ จึงได้ชื่อว่า "เฟิ่งหวง" แปลว่า "หงส์" 
                    ปัจจุบัน เมืองเฟิ่งหวงมีประชากรประมาณ 3 แสนคน ส่วนใหญ่เป็นชนเผ่าถู่เจียและชาวม้ง เวลาเดินอยู่ในตัวเมือง มักจะพบหญิงสาวชาวม้งหรือชาวถู่เจียในชุดชนชาติที่ประดับด้วยลายดอกไม้ เพิ่มความงดงามให้เมืองโบราณแห่งนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว  เฟิ่งหวงเป็นเมืองขนาดเล็ก ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงก็เดินได้ทั่ว แบ่งเป็นเมืองเก่ากับเมืองใหม่ เมืองเก่าสร้างขึ้นตามเชิงเขาและมีลำน้ำถัวเจียงไหลผ่าน มีถนนที่ปูด้วยหินสีเขียว 20 กว่าสาย มีกำแพงเมืองโบราณตั้งอยู่ริมน้ำ มีหงเฉียวซึ่งเป็นสะพานเก่าแก่ที่มีหลังคาคลุมเชื่อมสองฟากฝั่งให้เป็นหนึ่งเดียว  จุดเด่นของเฟิ่งหวง คือ "เตี้ยวเจี่ยวโหล" เป็นบ้านที่ยกพื้นสูงเรียงรายกันตามริมน้ำที่ใสสะอาดจนมองเห็นทุกสรรพสิ่ง เป็นทัศนียภาพที่สวยงามและเป็นที่นิยมชมชอบทั้งชาวจีนและนักท่องเที่ยวเลยทีเชียว  
               
                  เฟิ่งหวงเป็นเมืองที่กำเนิดอัจฉริยะบุรุษหลายคน นอกจากเสิ่นฉงเหวินซึ่งเป็นนักประพันธ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังแล้ว สง ซีหลิง อดีตนายกรัฐมนตรีคนแรกของสาธารณรัฐจีน และนายหวาง หย่งยู่ว์ จิตรกรที่มีื่ชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศก็เป็นชาวเฟิ่งหวง บ้านเดิมของเสิ่นฉงเหวิน นักประพันธ์ นักประวัติศาสตร์และนักการศึกษาค้นคว้าโบราณคดีนามอุโฆษของจีน เป็นบ้านที่มีลานบ้านล้อมรอบทั้งสี่ด้าน ก่อด้วยอิฐทนไฟที่มีสัญลักษณ์ประจำท้องถิ่นในภาคตะวันตกของมณฑลหูหนาน ซึ่งตกทอดมาจากรุ่นปู่ของเสิ่นฉง เหวิน อดีตผู้บัญชาการทหารประจำมณฑลกุ้ยโจวในสมัยราชวงศ์ชิง ต่อมาจึงสร้างเป็นบ้านเรือนดังกล่าว  เนื่องจากเป็นเมืองท่องเที่ยว บ้านเรือนเก่าแก่ของเฟิ่งหวงจึงใช้เป็นสถานที่เปิดบ้านพักสำหรับนักท่องเที่ยว บาร์เบียร์ และร้านค้าที่มีเอกลักษณ์ต่างๆ บาร์เบียร์เป็นสถานที่ที่พลาดไปไม่ได้หากไปเฟิ่งหวง เพราะส่วนใหญ่ตั้งอยู่สองข้างของลำน้ำ นั่งชมทิวทัศน์ที่สวยงามท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติก มีการตกแต่งที่เรียบง่ายและเป็นธรรมชาติ ไปนั่งอ่านหนังสือ จิบชา จิบเบียร์ หรือเล่นเน็ตก็ได้ พอพลบค่ำ โคมไฟสีแดงของแต่ละร้านที่อยู่สองฝากฝั่งลำน้ำก็สว่างไสว ประดับให้เมืองเก่าแก่แห่งนี้มีความสวยงามยิ่ง

                     บนถนนสายต่างๆของเมืองเก่า มีหญิงชราชาวม้งในชุดประจำชนชาติออกมาตั้งแผงลอยขายผ้าปักข้างๆกำแพงเมืองเก่า ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายแบบโบราณและสดชื่น ทุกเช้าพอฟ้าสว่างขึ้น ตามขั้นบันไดลงไปถึงริมลำน้ำ มีหมอกจางๆลอยเรี่ยอยู่บนผิวน้ำ โคมไฟสีแดงที่แขวนตามร้านทั้งสองฝั่งลำน้ำพริ้วไหวไปมาเบาๆท่ามกลางสายลมที่เย็นสบาย    นั่งเรือแจวชมบ้านเรือริมน้ำ ล่องตามลำน้ำถัวเจียง สนุก ตื่นเต้น และปลอดภัย ชมบ้านเรือนสองฟากฝั่งแม่น้ำ สะพานโบราณ ถนนที่ปูด้วยหินสีเขียว และ ต้นไผ่ที่สูงสะโอดสะอง รวมทั้งหญิงสาวชาวถู่เจียและชาวม้ง เมืองนี้เหมือนภาพเขียนที่สวยงามมากคะ     ที่เมืองเฟิ่งหวง สิ่งที่น่าซื้อไปฝากมากน่าจะเป็นน้ำตาลขิง เพราะเมืองเฟิ่งหวงมีร้านขายน้ำตาลขิงหลายสิบเจ้า  น้ำตาลขิงใช้วัตถุดิบคือน้ำตาลแดง ขิงสด งา และน้ำแร่ น้ำตาลขิงไม่เพียงแต่ทำให้กระเพาะอาหารมีความอุ่น ช่วยให้โลหิตหมุนเวียนดี แก้ไอและขับเสมหะเท่านั้น หากยังมีรสชาติหวานกรอบอร่อยด้วย

                     อันว่าเมืองโบราณที่มีลมหายใจ ก็คือเป็นเมืองที่มี มีหลายร้อยปีแล้ว ปัจจุบันก็ยังมี
คนอาศัยอยู่กันไม่ขาดสาย แต่ ลมหายใจของเมืองเฟิ่งหวงค่อนข้างเป็นลมหายใจเสียงดังมากหน่อย ดังราวกับงานวัด หรือในงานคอนเสิร์ต เพราะยามกลางคืนเต็มไปด้วยผู้คนที่มาเดินชมแสงไฟ หงเฉียว   สะพานมีหลังคา  แลนด์มาร์คของเฟิ่งหวง  มีร้านขายของเรียงรายสองข้างทางตรงกลางเป็นถนนให้คนเดินข้ามฝั่ง   ใครจะไปจะมา จะนัดหมายกัน ก็มักจะเริ่มที่นี่ จำชื่อไว้นะค่ะ หงเฉียว  เท่านั้น อย่าเรียกชื่อฝรั่งตามแผ่นพับว่า Rainbow Bridge เพราะไม่มีใครรู้จัก

ขอบคุณข้อมูลและภาพสวยๆ
http://travel.thaiza.com
http://www.meetawee.com

วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ทะเลสาบคานาสือ




               ดิฉันใช้เวลาในการเดินทางจากกรุงเทพฯไปนครกวางเจาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งจากนั้นต่อเครื่องเที่ยวบิน ภายใน ไปเมืองอูรูมูฉี เมืองเอกของมณฑลซินเกียงใช้เวลาต่ออีก 5 ชั่วโมงถึงเมืองอูรูมูฉี วันแรกใชัเวลาเดินทางทั้งวัน เข้าที่พัก พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ค่ะ เหนื่อยมากกับการเดินทาง

                เช้าวันใหม่สำหรับทริปนี้ ออกเดินทางประมาณเวลา 9 โมงเช้ามุ่งหน้าสู่เมืองเคอลามาอี้ ระหว่างทางแวะทะเลสาบไซลิมูหู หรือ ไข่มุกมรกตแห่งซินเจียง วิวทิวทัศน์ทะเลสาบสีครามที่ตัดกับภูเขาน้ำแข็งการ์เซียที่ตั้งตระหง่านที่งดงามเกินกว่าที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดห้วงเวลาที่ผ่านโค้งสุดท้ายเพื่อเข้าสู่ทะเลสาบเป็นโค้งสุดท้ายที่สวยงามมากเลย จนเปรียบดั่งกับสมญานามที่ได้รับว่า  ดินแดนที่ไปแล้วจะลืมคิดถึงบ้าน พร้อมถ่ายภาพความประทับใจคู่กับธรรมชาติริมทะเลสาบไว้เป็นที่ระลึก ชม ฝูงแกะ ฝูงม้า และมีบ้านที่เป็นแบบกระโจมของชาวมองโกเลียพักอาศัยอยู่แล้วเดินทางต่อไปยังเมือง เค่อลามาอี้ ระหว่างทางมีจุดแวะพักหลายจุดเดินทางไม่รีบร้อน

              เดินทางอีก 350 กิโลเมตร เดินทางไปเมืองปู้เอ่อจิน ผ่านเมืองผีอู่เอ้อเฮ้อ หรือเรียกว่าแพะเมืองผีเป็นดินที่เกิดจากการกัดเซาะของกระแสทำให้เกิดเป็นรูปร่างต่างๆเปรียบเสมือนดินแดนพิศวงในนิยาย เชื่อกันว่าเดิมสถานที่แห่งนี้เคยเป็นทะเลสาบที่มีน้ำใสสะอาดเมื่อหลายพันล้านปีก่อน ต่อมาเกิดได้เกิดการพลิกตัวของเปลือกโลกเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง ทำให้เกิดการพลิกตัวของท้องน้ำเหนือทะเลสาบกลายเป็นทะเลทรายจึงทำให้เป็นหินรูปร่างแปลกตาที่เกิด จากการกัดเซาะของกระแสลมแรง จากนั้นดิฉันก็เดินทางต่อไปชมสิ่งมหัศจรรย์ ธารน้ำห้าสี ที่เกิดจากการทับถมของหิน ดิน นับพันปีมีชั้นหินทรายเรียงสลับซับซ้อนกันจากสภาพอากาศที่แปรปวน และกระแสลมเปลี่ยนแปลงกลายเป็นหินที่มีความสวยงามยามสะท้อนกับพระอาทิตย์ยามเย็นเห็นเป็นสีแดง ส้ม เหลือง เทา และน้ำตาล ดูสวยงามแปลกตาตัดกับทุ่งหญ้าสีเขียว ชม แกรนแคนยอน ที่เกิดจากการกัดเซาของสายน้ำและสายลมทำให้เกิดเป็นรูปทรงต่างๆเปรียบเสมือนอาณาจักรหินสีทองที่มีความยิ่งใหญ่ควรค่าเดินทางต่อไปสู่เมืองปู้เอ่อจิ่ง เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในเรื่องของปลาน้ำเย็นซึ่งเป็นปลาที่มีเนื้อนุ่มและมีกลิ่นหอมที่สามารถหาได้จากสถานที่ที่มีน้ำเย็นที่ไหลจากเทือกเขาที่น้ำแข็งละลายและไหลจากเทือกเขาน้ำแข็งลงมาสู่แม่น้ำ

                วันรุ่งขึ้นกับการเดินทางอีก 180 กิโลเมตร ดิฉันออกเดินทางสู่หุบเหวเจียเติง  2 ข้างทางที่เป็นทะเลสาบที่มีความกว้างใหญ่ไพศาลและชมทั้งแพะและแกะที่ยืนอยู่ตามภูเขาที่มีความสูงชัน  หมู่บ้านเหอมูชุน ที่อยู่ด้านบนของอุทยานฯเป็นหมู่บ้านเก่าแก่ที่มีความงดงาม ซึ่งหมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านที่มีนักถ่ายภาพและนักวาดรูปจากทั่วโลกให้ความสนใจและหลงใหลในมนต์เสน่ห์มากที่สุดในประเทศจีน
                
            เดินทางถึง ทะเลสาบคานาสือ อุทยานแห่งชาติคานาสือ หุบเหวเจียเติง เพื่อเดินทางเข้าสู่ ทะเลสาบคานาสือ  ณ ใจกลางอุทยานฯ ได้รับการยกย่องว่าเป็นแผ่นดินที่บริสุทธิ์ชิ้นสุดท้ายของมวลมนุษย์ปราศจากมลภาวะ สวยงามที่สุดที่หลงเหลืออยู่ในโลกนี้ยิ่งกว่าจิ่วจ้ายโกวหลายเท่า ล่องเรือทะเลสาบคานาสือ  ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ล้อมรอบด้วยภูเขาที่ประดับด้วยใบไม้ที่ผลัดเปลี่ยนสีตามฤดูกาลเป็นทะเลสาบที่ขนานนามว่า “ทะเลสาบแห่งเทพนิยาย” ได้สัมผัสกับกลิ่นอายความบริสุทธิ์ของธรรมชาติรอบกายโอบล้อมด้วยภูเขาทั้งซ้ายและขวาที่เขียวขจีแซมด้วยการผลัดเปลี่ยนสีของใบไม้ในช่วงหน้าหนาวของทะเลสาบคานาสือแห่งนี้ สวยงามเกินกว่าคำบรรยาย มากกว่าจิ่วจ้ายโกว แล้วขึ้นสู่จุดชมวิว กวนหวี่ถิง ตื่นตาตื่นใจกับทัศนียภาพของทะเลสาบกลางหุบเขา ถ้าโชคดีจะได้เห็นสัตว์ประหลาดหรือปลาแดงขนาดใหญ่ (หงหวี) ที่มีความยาวประมาณ 8 – 12 เมตร ซึ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของทะเลสาบแห่งนี้เลยทีเดียว เดินทางต่อผ่าน แม่น้ำเคอเอ๋อฉี่ซื่อเห่อเป็นแม่น้ำแห่งเดียวที่ไหลสู่ทะเลขั้วโลกเหนือเดินทางชม  เย้เลี่ยงวาน หรือ ทะเลสาบวงพระจันทร์  ที่มีตำนานเล่าขานว่าเป็นทะเลสาบที่มีรอยเท้าของเจงกิสข่านเป็นรอยเท้า ทะเลสาบแห่งนี้แบ่งเป็นสองสีในเวลาเดียวกันจากนั้นเดินทางต่อเพื่อชมความงามแห่งทะเลสาบเทวดาเป็นทะสาบที่มีจุดเด่นอยู่ที่ความใสของน้ำและภูเขาที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ด้านหลังทะเลสาบแห่งนี้ และชมทะเลสาบมังกรหลับ ซึ่งทะเลสาบแห่งนี้จะมีเกาะอยู่ตรงกลางของทะเลสาบดูคล้ายกับสันหลังของมังกรที่หลับเพื่อรอวันตื่นทำให้ชาวบ้านขนานนามว่า ทะเลสาบมังกรหลับ
 ขอบคุณสำหรับข้อมูลและภาพสวยๆๆสวย

http://www.choktaweetour.org
http://dragowen.multiply.com