เมือง ซีอาน สุสานทหาร นึกอยากนั่งเครื่องบินไปเที่ยวซีอาน ก็ตีตั๋วเครื่องบินแอร์ไชน่า เที่ยวได้แบบตามอารมณ์เรา เครื่องออกตอนเจ็ดโมงยี่สิบ ต้องเขี่ยขี้ตาลุกจากที่นอนไปสนาม เมืองซีอานอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงปักกิ่ง เป็นเมืองหลวงของมณฑลส่านซี (คนละมณฑลกับซานซี) ใช้เวลาบินไปเกือบ 2 ชั่วโมง แต่ขากลับจะเร็วกว่ามาก ชื่อเรียกซีอานในภาษาจีน Xi หมายถึง ทิศตะวันตก ส่วน An หมายถึง ความสงบสุข ในทางประวัติศาสตร์จีนนั้น เมืองซีอานเคยเป็นเมืองหลวงมาแล้วของ 13 ราชวงศ์จีน ชื่อเรียกเดิมก็คือ ฉางอาน
เมืองซีอานไม่มีสนามบินเป็นของตัวเอง ต้องไปใช้สนามบินของเมืองเสียนหยาง ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของซีอาน ห่างจากซีอานร่วม 50-60 กม. ใช้เวลารถวิ่งร่วมชั่วโมง ตอนเดินทางกลับต้องเผื่อเวลาไว้ให้ดี จากปักกิ่งจะไปซีอานทางรถไฟตู้นอนก็ได้ แต่ส่วนใหญ่มักจะเต็มออกจากสนามบินได้ไม่ต้องพูดพร่ำให้เสียเวลากันแล้ว ขอที่จะตะลุยเที่ยวกันเลย สถานที่แรกที่ดิฉันตัดสินใจก็คือ สุสาน เรียกว่าพอไปถึงเมืองซีอาน ก็เข้าสุสานเลย แล้วก็ยังต้องตีตั๋วเข้าไปอีกด้วย ตั๋วผู้ใหญ่อยู่ที่ 45 หยวน (225 บาท) ส่วนตั๋วเด็กก็ 24 หยวน (120 บาท) เข้าไปถึงหันมองไปทางซ้ายก็เป็นทางยาวโล่ง มองไปทางขวาก็เป็นทางยาวโล่งอีกเหมือนกัน ที่เที่ยวเมืองจีนจะมีบ้างไหมที่ไปแล้วไม่ต้องเดินมากตัดสินใจเดินย้อนแสงไปทางซ้ายมือก่อนซึ่งน่าจะเป็นทิศตะวันออก มองไม่เห็นภูเขาก็น่าจะเป็นพื้นราบ ส่วนด้านขวามือเป็นภูเขาสูง ซึ่งก็คงจะเป็นทิศตะวันตก ก็ควรจะเริ่มจากพื้นราบไปหาภูเขาสุสานนี้มีชื่อเรียกว่า
สุสานเฉียนหลิง อยู่ในพื้นที่อำเภอเฉียนเสี้ยน เมืองเสียนหยาง ห่างจากซีอานไป ประมาณ 80 กม. ตั้งอยู่บนเนินเขาถังเฉียน ถ้าไม่เอารถขึ้นมา ก็ต้องเดินขึ้นบันไดมา 500 ขั้น มองตรงลงไปจากบันไดก็จะเห็นเป็นแนวถนนยาวไปสุดปลายฟ้าขึ้นมาแล้วก็จะเจอกับเสาแท่ง ๆ เรียกว่า เสาหินประดับ แต่ไม่รู้ว่ามีนัยสำคัญอะไรเกี่ยวกับสุสานหรือเปล่า ก็คงเรื่องอายุของเสาหินนี้ที่อยู่มายาวนานกว่า 1,300 ปีอยู่ใกล้ ๆ กันกับเสาเป็นม้ามีปีก ยุคสมัยนั้นจีนก็มีม้ามีปีกแล้วเหมือนกัน สุสานนี้เป็นต้นแบบของสุสานของราชวงศ์จีนโบราณ เริ่มลงมือก่อสร้างกันตั้งแต่เมื่อ พ.ศ.1226 ในสมัยราชวงศ์ถัง คนที่มาเลือกทำเลและสั่งให้ลงมือสร้างก็คือ อู่เจ๋อเทียน ฮ่องเต้หญิงพระองค์แรกและพระองค์เดียวของจีน ชื่อนี้อาจไม่ค่อยจะคุ้นกัน แต่ถ้าบอกว่าเป็นคนเดียวกันกับ บูเช็กเทียน ก็คงพอจะเคยได้ยินชื่อกันบ้าง สร้างสุสานนี้ขึ้นมาก็เพื่อใช้ฝังพระศพฮ่องเต้เกาจง พระสวามี แล้วเตรียมไว้สำหรับฝังพระศพของตัวเองด้วย ทางเดินกว้าง ๆ ยาว ๆ ที่เห็นไปสุดสายตาอยู่ที่เชิงเขานั้น บางคนก็เรียกว่า ทางศักดิ์สิทธิ์ แต่บางคนก็เรียกว่า ทางเดินผีสองฟากทางมีหินสลักรูปสัตว์และคนไปตลอดทาง หินสลักรูปม้าบางตัวก็มีคนเลี้ยงอยู่ด้วย แต่บางตัวก็ไม่มี ที่ชวนให้สงสัยก็คือเหล่าคนเลี้ยงม้าพวกนี้ไม่มีหัว ไม่รู้ว่าคนสร้างทำให้เป็นแบบนี้เอง หินสลักรูปขุนนางจีนซึ่งเห็นอยู่ตามสุสานราชวงศ์จีนในที่ต่าง ๆ เป็นสัญญลักษณ์ของผู้พิทักษ์รักษาสุสานอู่เจ๋อเทียน ไม่ได้เป็นแค่จักรพรรดินีซึ่งหมายถึงอัครมเหสี แต่อู่เจ๋อเทียนมีฐานะเป็นฮ่องเต้ที่ปกครองแผ่นดินจีนจริง ๆ แต่ถึงวันนี้หัวหายไปหมดแล้วสิงโตหินสองตัวซึ่งเฝ้าอยู่ตรงปากทางเข้าสุสาน ทั้งสองตัวเห็นร่องรอยการปะแต่ง การดามเหล็ก ซึ่งความเสียหายดูแล้วไม่น่าจะเกิดจากธรรมชาติหรือกาลเวลา แต่น่าจะเป็นฝีมือคนเรานี่แหละแท่นป้ายสีดำที่สร้างขึ้นในยุคสมัยหลัง เขียนข้อความอะไรไว้บ้างไม่รู้กับเขาหรอก เพราะอ่านหนังสือจีนไม่ออกสักตัว พูดก็ไม่เป็นสักคำ ภาษาอังกฤษก็ได้น้อยกว่างู ๆ ปลา ๆ แต่ถนัดลูกมั่วเอาตัวรอดมาได้ตลอด เวลาที่ไปต่างบ้านต่างเมืองสุดปลายทางเดินที่ปูลาดด้วยแผ่นกระเบื้องและอิฐ ไม่มีสิ่งก่อสร้างอะไรอีก รูปหินสลักก็ไม่มีให้เห็นอีกแล้ว ทางข้างหน้าเป็นทางดินเดินขึ้นเขาสูงชัน หลุมฝังศพของฮ่องเต้เกาจงและอู่เจ๋อเทียนอยู่ใต้ดินบนเขา อู่เจ๋อเทียนเป็นผู้เลือกเขาเหลียงซานที่มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลกว่า 1,000 เมตร แห่งนี้ ซึ่งมีลักษณะเป็นเขานางนอน (หงาย) ก่อนหน้านี้ก็ได้ยินว่ายังไม่รู้ว่าหลุมฝังศพอยู่ตรงไหน หลัง ๆ มา ก็มีข่าวว่าเจอทางเข้าแล้ว แต่ยังเข้าไปได้ไม่ลึกนักมีม้าให้บริการพาขี่ขึ้นไปเที่ยวตามจุดต่าง ๆ คิดค่าม้าแค่ 100 หยวน (500 บาท) แต่ยืนดูอยู่พักใหญ่ไม่ได้เห็นคนมาใช้บริการ ถ้าไม่กลัวตกเขาก็คงกลัวตกม้านั่นแหละบางคนเลือกใช้แค่บริการส่องกล้อง ได้ดูสภาพและบรรยากาศบนเขาก็พึงพอใจแล้วแต่หลายคนก็ตัดสินใจที่จะเดินเท้าขึ้นเขา ซึ่งต้องมีทั้งแรงทั้งเวลา เพราะหลายช่วงได้ยินว่าเป็นทางที่ค่อนข้างชัน ดิฉันถามคนที่ขึ้นไปแล้วกลับลงมาไม่ได้รับคำตอบในความหมายที่ประทับใจ เพราะขึ้นไปแล้วก็ไม่ได้ดูอะไร นอกจากได้ดูวิวจากที่สูงลงมาข้างล่างก้าวเท้าเดินหน้าไปบ้างแล้ว ดิฉันก็เลยเปลี่ยนใจเก็บแรงเก็บเวลาเอามาเดินดูของขายไม่ได้เสียเงินซื้อของ เพราะสินค้าที่เห็นเป็นแบบชวนดูสวย ๆ งาม ๆ มากกว่าที่จะหาซื้อมาเก็บไว้ให้เต็มบ้าน บริเวณรอบ ๆ สุสานก็เป็นหมู่บ้าน ชาวบ้านแถวนี้ก็ทำไร่ ทำนา แล้วก็ปลูกผลไม้ส่งโรงงานบ้าง เก็บเอามาขายเองบ้างตรงที่จอดรถกลายสภาพเป็นตลาดเล็ก ๆ ชาวบ้านขนเอาผลไม้มาขายให้นักท่องเที่ยว ไม่ต้องห่วงเรื่องความสดเพราะเพิ่งเก็บเอามาจากต้น แล้วก็ไม่ต้องห่วงเรื่องราคา ซื้อได้แบบที่ไม่อยากจะต่อราคาอีก ไม่เหมือนซื้อของอย่างอื่นที่มักจะโดนบอกโก่งราคาแบบสูงลิบลิ่วไว้ก่อนผลไม้ที่เอามาขาย ถ้าไม่นับลูกขายกัน ก็จะเอามาชั่งขาย แล้วก็ขายกันเป็นชั่ง ไม่ได้ชั่งเป็นกิโลขายแบบบ้านเราฟังราคาผลไม้คราวแรก ยังเข้าใจตัวเองว่าฟังผิด ก็ใครจะไปเชื่อ เกิดมาไม่เคยกินแอปเปิลแบบ 10 ลูก หยวนเดียว (5 บาท) แถมฝานส่งมาให้ชิมแบบไม่ห่วงขาดทุน สาลี่ขายแพงกว่าแอปเปิลนิดหน่อย หนึ่งหยวนซื้อได้ 6 ลูก ซึ่งก็ยังไม่ถึงลูกละหนึ่งบาทดีส่วนลูกพลับสด ๆ อย่างนี้ ขาย 3 ลูก แค่หยวนเดียวเหมือนกัน ลูกหนึ่งแค่บาทกว่า ๆ เอง สำหรับทับทิมลูกโต ๆ แดง ๆ อย่างนี้ เนื้อในทั้งแดงทั้งหวาน ตอนที่เอามีดผ่า น้ำทับทิมมาเปียกติดปลายนิ้วสีแดงเข้ม ยังนึกว่าโดนมีดบาด ขายอยู่ราคาสูงหน่อยคือ 2 ลูก 5 หยวน (25 บาท)คนทางซีอานนั้นชอบกินอาหารจำพวกแป้ง ไปที่ไหนก็มักจะได้เห็นอาหารจำพวกเกี๊ยวหลากหลายไส้ จำพวกเส้นหมี่หลากหลายหน้าตา แล้วก็แป้งอบเป็นแผ่นกลม ๆ รสชาติแห้ง ๆ จืด ๆ กินแล้วชวนฝืดคอ แต่ดิฉันก็ต้องกินค่ะเพราะไม่รู้ว่าจะกินอะไรต้องกินค่ะ เพราะดิฉันยังต้องตระเวนไปอีกหลายที่
ขอบคุณข้อมูลและภาพสวยๆๆๆ
www.wonderfulpackage.com
http://www.taklong.com