วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เมืองโบราณเฟิ่งหวงกับมนต์เสน่ห์แห่งม่านหมอก


เมืองโบราณเฟิ่งหวง(fenghuang)



                    เมืองโบราณเฟิ่งหวง  (fenghuang)  ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกของมณฑลหูหนาน สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิง มีประวัติกว่า 400 ปี เนื่องจากเขาหนานหัวที่อยู่ทางใต้ของเมืองมีรูปร่างเหมือนหงส์ จึงได้ชื่อว่า "เฟิ่งหวง" แปลว่า "หงส์" 
                    ปัจจุบัน เมืองเฟิ่งหวงมีประชากรประมาณ 3 แสนคน ส่วนใหญ่เป็นชนเผ่าถู่เจียและชาวม้ง เวลาเดินอยู่ในตัวเมือง มักจะพบหญิงสาวชาวม้งหรือชาวถู่เจียในชุดชนชาติที่ประดับด้วยลายดอกไม้ เพิ่มความงดงามให้เมืองโบราณแห่งนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว  เฟิ่งหวงเป็นเมืองขนาดเล็ก ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงก็เดินได้ทั่ว แบ่งเป็นเมืองเก่ากับเมืองใหม่ เมืองเก่าสร้างขึ้นตามเชิงเขาและมีลำน้ำถัวเจียงไหลผ่าน มีถนนที่ปูด้วยหินสีเขียว 20 กว่าสาย มีกำแพงเมืองโบราณตั้งอยู่ริมน้ำ มีหงเฉียวซึ่งเป็นสะพานเก่าแก่ที่มีหลังคาคลุมเชื่อมสองฟากฝั่งให้เป็นหนึ่งเดียว  จุดเด่นของเฟิ่งหวง คือ "เตี้ยวเจี่ยวโหล" เป็นบ้านที่ยกพื้นสูงเรียงรายกันตามริมน้ำที่ใสสะอาดจนมองเห็นทุกสรรพสิ่ง เป็นทัศนียภาพที่สวยงามและเป็นที่นิยมชมชอบทั้งชาวจีนและนักท่องเที่ยวเลยทีเชียว  
               
                  เฟิ่งหวงเป็นเมืองที่กำเนิดอัจฉริยะบุรุษหลายคน นอกจากเสิ่นฉงเหวินซึ่งเป็นนักประพันธ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังแล้ว สง ซีหลิง อดีตนายกรัฐมนตรีคนแรกของสาธารณรัฐจีน และนายหวาง หย่งยู่ว์ จิตรกรที่มีื่ชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศก็เป็นชาวเฟิ่งหวง บ้านเดิมของเสิ่นฉงเหวิน นักประพันธ์ นักประวัติศาสตร์และนักการศึกษาค้นคว้าโบราณคดีนามอุโฆษของจีน เป็นบ้านที่มีลานบ้านล้อมรอบทั้งสี่ด้าน ก่อด้วยอิฐทนไฟที่มีสัญลักษณ์ประจำท้องถิ่นในภาคตะวันตกของมณฑลหูหนาน ซึ่งตกทอดมาจากรุ่นปู่ของเสิ่นฉง เหวิน อดีตผู้บัญชาการทหารประจำมณฑลกุ้ยโจวในสมัยราชวงศ์ชิง ต่อมาจึงสร้างเป็นบ้านเรือนดังกล่าว  เนื่องจากเป็นเมืองท่องเที่ยว บ้านเรือนเก่าแก่ของเฟิ่งหวงจึงใช้เป็นสถานที่เปิดบ้านพักสำหรับนักท่องเที่ยว บาร์เบียร์ และร้านค้าที่มีเอกลักษณ์ต่างๆ บาร์เบียร์เป็นสถานที่ที่พลาดไปไม่ได้หากไปเฟิ่งหวง เพราะส่วนใหญ่ตั้งอยู่สองข้างของลำน้ำ นั่งชมทิวทัศน์ที่สวยงามท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติก มีการตกแต่งที่เรียบง่ายและเป็นธรรมชาติ ไปนั่งอ่านหนังสือ จิบชา จิบเบียร์ หรือเล่นเน็ตก็ได้ พอพลบค่ำ โคมไฟสีแดงของแต่ละร้านที่อยู่สองฝากฝั่งลำน้ำก็สว่างไสว ประดับให้เมืองเก่าแก่แห่งนี้มีความสวยงามยิ่ง

                     บนถนนสายต่างๆของเมืองเก่า มีหญิงชราชาวม้งในชุดประจำชนชาติออกมาตั้งแผงลอยขายผ้าปักข้างๆกำแพงเมืองเก่า ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายแบบโบราณและสดชื่น ทุกเช้าพอฟ้าสว่างขึ้น ตามขั้นบันไดลงไปถึงริมลำน้ำ มีหมอกจางๆลอยเรี่ยอยู่บนผิวน้ำ โคมไฟสีแดงที่แขวนตามร้านทั้งสองฝั่งลำน้ำพริ้วไหวไปมาเบาๆท่ามกลางสายลมที่เย็นสบาย    นั่งเรือแจวชมบ้านเรือริมน้ำ ล่องตามลำน้ำถัวเจียง สนุก ตื่นเต้น และปลอดภัย ชมบ้านเรือนสองฟากฝั่งแม่น้ำ สะพานโบราณ ถนนที่ปูด้วยหินสีเขียว และ ต้นไผ่ที่สูงสะโอดสะอง รวมทั้งหญิงสาวชาวถู่เจียและชาวม้ง เมืองนี้เหมือนภาพเขียนที่สวยงามมากคะ     ที่เมืองเฟิ่งหวง สิ่งที่น่าซื้อไปฝากมากน่าจะเป็นน้ำตาลขิง เพราะเมืองเฟิ่งหวงมีร้านขายน้ำตาลขิงหลายสิบเจ้า  น้ำตาลขิงใช้วัตถุดิบคือน้ำตาลแดง ขิงสด งา และน้ำแร่ น้ำตาลขิงไม่เพียงแต่ทำให้กระเพาะอาหารมีความอุ่น ช่วยให้โลหิตหมุนเวียนดี แก้ไอและขับเสมหะเท่านั้น หากยังมีรสชาติหวานกรอบอร่อยด้วย

                     อันว่าเมืองโบราณที่มีลมหายใจ ก็คือเป็นเมืองที่มี มีหลายร้อยปีแล้ว ปัจจุบันก็ยังมี
คนอาศัยอยู่กันไม่ขาดสาย แต่ ลมหายใจของเมืองเฟิ่งหวงค่อนข้างเป็นลมหายใจเสียงดังมากหน่อย ดังราวกับงานวัด หรือในงานคอนเสิร์ต เพราะยามกลางคืนเต็มไปด้วยผู้คนที่มาเดินชมแสงไฟ หงเฉียว   สะพานมีหลังคา  แลนด์มาร์คของเฟิ่งหวง  มีร้านขายของเรียงรายสองข้างทางตรงกลางเป็นถนนให้คนเดินข้ามฝั่ง   ใครจะไปจะมา จะนัดหมายกัน ก็มักจะเริ่มที่นี่ จำชื่อไว้นะค่ะ หงเฉียว  เท่านั้น อย่าเรียกชื่อฝรั่งตามแผ่นพับว่า Rainbow Bridge เพราะไม่มีใครรู้จัก

ขอบคุณข้อมูลและภาพสวยๆ
http://travel.thaiza.com
http://www.meetawee.com

วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ทะเลสาบคานาสือ




               ดิฉันใช้เวลาในการเดินทางจากกรุงเทพฯไปนครกวางเจาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งจากนั้นต่อเครื่องเที่ยวบิน ภายใน ไปเมืองอูรูมูฉี เมืองเอกของมณฑลซินเกียงใช้เวลาต่ออีก 5 ชั่วโมงถึงเมืองอูรูมูฉี วันแรกใชัเวลาเดินทางทั้งวัน เข้าที่พัก พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ค่ะ เหนื่อยมากกับการเดินทาง

                เช้าวันใหม่สำหรับทริปนี้ ออกเดินทางประมาณเวลา 9 โมงเช้ามุ่งหน้าสู่เมืองเคอลามาอี้ ระหว่างทางแวะทะเลสาบไซลิมูหู หรือ ไข่มุกมรกตแห่งซินเจียง วิวทิวทัศน์ทะเลสาบสีครามที่ตัดกับภูเขาน้ำแข็งการ์เซียที่ตั้งตระหง่านที่งดงามเกินกว่าที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดห้วงเวลาที่ผ่านโค้งสุดท้ายเพื่อเข้าสู่ทะเลสาบเป็นโค้งสุดท้ายที่สวยงามมากเลย จนเปรียบดั่งกับสมญานามที่ได้รับว่า  ดินแดนที่ไปแล้วจะลืมคิดถึงบ้าน พร้อมถ่ายภาพความประทับใจคู่กับธรรมชาติริมทะเลสาบไว้เป็นที่ระลึก ชม ฝูงแกะ ฝูงม้า และมีบ้านที่เป็นแบบกระโจมของชาวมองโกเลียพักอาศัยอยู่แล้วเดินทางต่อไปยังเมือง เค่อลามาอี้ ระหว่างทางมีจุดแวะพักหลายจุดเดินทางไม่รีบร้อน

              เดินทางอีก 350 กิโลเมตร เดินทางไปเมืองปู้เอ่อจิน ผ่านเมืองผีอู่เอ้อเฮ้อ หรือเรียกว่าแพะเมืองผีเป็นดินที่เกิดจากการกัดเซาะของกระแสทำให้เกิดเป็นรูปร่างต่างๆเปรียบเสมือนดินแดนพิศวงในนิยาย เชื่อกันว่าเดิมสถานที่แห่งนี้เคยเป็นทะเลสาบที่มีน้ำใสสะอาดเมื่อหลายพันล้านปีก่อน ต่อมาเกิดได้เกิดการพลิกตัวของเปลือกโลกเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง ทำให้เกิดการพลิกตัวของท้องน้ำเหนือทะเลสาบกลายเป็นทะเลทรายจึงทำให้เป็นหินรูปร่างแปลกตาที่เกิด จากการกัดเซาะของกระแสลมแรง จากนั้นดิฉันก็เดินทางต่อไปชมสิ่งมหัศจรรย์ ธารน้ำห้าสี ที่เกิดจากการทับถมของหิน ดิน นับพันปีมีชั้นหินทรายเรียงสลับซับซ้อนกันจากสภาพอากาศที่แปรปวน และกระแสลมเปลี่ยนแปลงกลายเป็นหินที่มีความสวยงามยามสะท้อนกับพระอาทิตย์ยามเย็นเห็นเป็นสีแดง ส้ม เหลือง เทา และน้ำตาล ดูสวยงามแปลกตาตัดกับทุ่งหญ้าสีเขียว ชม แกรนแคนยอน ที่เกิดจากการกัดเซาของสายน้ำและสายลมทำให้เกิดเป็นรูปทรงต่างๆเปรียบเสมือนอาณาจักรหินสีทองที่มีความยิ่งใหญ่ควรค่าเดินทางต่อไปสู่เมืองปู้เอ่อจิ่ง เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในเรื่องของปลาน้ำเย็นซึ่งเป็นปลาที่มีเนื้อนุ่มและมีกลิ่นหอมที่สามารถหาได้จากสถานที่ที่มีน้ำเย็นที่ไหลจากเทือกเขาที่น้ำแข็งละลายและไหลจากเทือกเขาน้ำแข็งลงมาสู่แม่น้ำ

                วันรุ่งขึ้นกับการเดินทางอีก 180 กิโลเมตร ดิฉันออกเดินทางสู่หุบเหวเจียเติง  2 ข้างทางที่เป็นทะเลสาบที่มีความกว้างใหญ่ไพศาลและชมทั้งแพะและแกะที่ยืนอยู่ตามภูเขาที่มีความสูงชัน  หมู่บ้านเหอมูชุน ที่อยู่ด้านบนของอุทยานฯเป็นหมู่บ้านเก่าแก่ที่มีความงดงาม ซึ่งหมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านที่มีนักถ่ายภาพและนักวาดรูปจากทั่วโลกให้ความสนใจและหลงใหลในมนต์เสน่ห์มากที่สุดในประเทศจีน
                
            เดินทางถึง ทะเลสาบคานาสือ อุทยานแห่งชาติคานาสือ หุบเหวเจียเติง เพื่อเดินทางเข้าสู่ ทะเลสาบคานาสือ  ณ ใจกลางอุทยานฯ ได้รับการยกย่องว่าเป็นแผ่นดินที่บริสุทธิ์ชิ้นสุดท้ายของมวลมนุษย์ปราศจากมลภาวะ สวยงามที่สุดที่หลงเหลืออยู่ในโลกนี้ยิ่งกว่าจิ่วจ้ายโกวหลายเท่า ล่องเรือทะเลสาบคานาสือ  ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ล้อมรอบด้วยภูเขาที่ประดับด้วยใบไม้ที่ผลัดเปลี่ยนสีตามฤดูกาลเป็นทะเลสาบที่ขนานนามว่า “ทะเลสาบแห่งเทพนิยาย” ได้สัมผัสกับกลิ่นอายความบริสุทธิ์ของธรรมชาติรอบกายโอบล้อมด้วยภูเขาทั้งซ้ายและขวาที่เขียวขจีแซมด้วยการผลัดเปลี่ยนสีของใบไม้ในช่วงหน้าหนาวของทะเลสาบคานาสือแห่งนี้ สวยงามเกินกว่าคำบรรยาย มากกว่าจิ่วจ้ายโกว แล้วขึ้นสู่จุดชมวิว กวนหวี่ถิง ตื่นตาตื่นใจกับทัศนียภาพของทะเลสาบกลางหุบเขา ถ้าโชคดีจะได้เห็นสัตว์ประหลาดหรือปลาแดงขนาดใหญ่ (หงหวี) ที่มีความยาวประมาณ 8 – 12 เมตร ซึ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของทะเลสาบแห่งนี้เลยทีเดียว เดินทางต่อผ่าน แม่น้ำเคอเอ๋อฉี่ซื่อเห่อเป็นแม่น้ำแห่งเดียวที่ไหลสู่ทะเลขั้วโลกเหนือเดินทางชม  เย้เลี่ยงวาน หรือ ทะเลสาบวงพระจันทร์  ที่มีตำนานเล่าขานว่าเป็นทะเลสาบที่มีรอยเท้าของเจงกิสข่านเป็นรอยเท้า ทะเลสาบแห่งนี้แบ่งเป็นสองสีในเวลาเดียวกันจากนั้นเดินทางต่อเพื่อชมความงามแห่งทะเลสาบเทวดาเป็นทะสาบที่มีจุดเด่นอยู่ที่ความใสของน้ำและภูเขาที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ด้านหลังทะเลสาบแห่งนี้ และชมทะเลสาบมังกรหลับ ซึ่งทะเลสาบแห่งนี้จะมีเกาะอยู่ตรงกลางของทะเลสาบดูคล้ายกับสันหลังของมังกรที่หลับเพื่อรอวันตื่นทำให้ชาวบ้านขนานนามว่า ทะเลสาบมังกรหลับ
 ขอบคุณสำหรับข้อมูลและภาพสวยๆๆสวย

http://www.choktaweetour.org
http://dragowen.multiply.com

วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ทะเลสาบหลูกู มณฑลยูนนาน



ทะเลสาบหลูกู มณฑลยูนนาน


 

          ทะเลสาบหลูกู     ตั้งอยู่ระหว่างอำเภอหนิงลั่งมณฑลยูนนานกับอำเภอเอี๋ยนจินของมณฑลเสฉวน ห่างจากลี่เจียงเมืองโบราณที่มีชื่อ เสียงของมณฑลยูนนานประมาณ270กิโลเมตร มีความสูงเหนือ ระดับน้ำทะเล2,680เมตร ผิวน้ำมีพื้นที่52ตารางกิโลเมตร เฉลี่ยความลึกประมาณ40เมตร มีความลึกที่สุดถึง93เมตร เนื่องจากไม่มีมลภาวะ น้ำจึงบริสุทธิ์ใสสะอาด สามารถมองเห็นใต้น้ำได้ลึกถึง12เมตร
ทะเลสาบหลูกูเสมือนหนึ่งอัญมณีที่ประดับในอ้อมอก ของภูเขา ได้รับฉายาว่า"อัญมณีบนที่ราบสูง" "พื้นที่บริสุทธิ์ในทางภาคตะวันตก เฉียงเหนือของมณฑลยูนนาน"และ"สิ่งมหัศจรรย์ธรรมชาติในตะวัน ออก"เป็นต้น บริเวณรอบข้างทะเลสาบหลูกูมีป่าดิบที่หนาทึบ อากาศดี ท้องฟ้าสีครามและเมฆสีขาว ที่สะท้อนกับท้องน้ำท่ามกลางอากาศเย็นสบายสดชื่นและวิถีชาวบ้านที่เรียบง่าย มักจะทำให้นักท่องเที่ยวลืมตัวว่า ตนเองอยู่ในโลกจริงหรือ อยู่ในโลกแห่งความฝันกันแน่  ความงดงาม และมนต์ขลังของ ทะเลสาบหลูกู   เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจสำหรับนักเดินทางอย่างเรา เมื่อมีโอกาสได้ไปเยือนทะเลสาบแห่งนี้ เหมือนต้องมนต์สะกดกับภาพที่ปรากฏตรงหน้า ทะเลสาบหลูกูหูงดงามราวกับภาพวาด สวยงามทั้งในภาพฝัน และภาพจริงเลยเชียว


    การเดินทางอันแสนยาวนานกับการไปเยือนหลูกูหูครั้งนี้ เริ่มต้นด้วยการนั่งรถไฟกลับจากซีอาน มาลงปลายทางที่พานจื่อฮวา แล้วต่อรถประจำทางแบบ (นั่ง) มาราธอนอีก 2 ต่อ ข้ามภูเขาหลายสิบลูก ตั้งแต่เช้าจรดค่ำกว่าจะถึงปลายทาง การเดินทางเต็มไปด้วยรสชาติของความสนุก ตื่นเต้น ผจญภัย



 และแล้วเราก็เดินทางถึงที่พัก ที่ทะเลสาบหลูกูหู ที่พักที่นี้ มีทุกอย่างครบ ห้องน้ำอย่างดีพร้อมน้ำอุ่น เครื่องปรับอากาศ ผ้าห่มไฟฟ้า ทีวีที่รับได้ทุกช่องรวมไปถึง HBO และมี Hi-Speed Wifi ให้ใช้ฟรี  เราเก็บสัมภาระเรียบร้อยกันเสร็จแล้ว ก็ออกไปสำรวจเส้นทาง โดยการขี่จักรยานเช่าปั่นสำรวจเส้นทางลัดเลาะไปตามแนวทะเลสาบ ถนนทอดตัวเลื้อยยาวไปตามเนินคดโค้ง ขึ้นๆลงๆ ตามความลาดชันของภูเขาที่โอบล้อมทะเลสาบไว้ มองเห็นเกาะเล็กๆ กลางทะเลสาบ ชาวบ้านออกเรือหาปลา สุนัขวิ่งไปมา บ้านเรือนปลูกเป็นแนวขนานบนที่ราบสองฝั่งถนน สลับกับสวนผลไม้ และไม้ยืนต้นจำพวกสน สวยมาก บรรยากาศดีมาก  ค่ำคืนนี้ ท้องฟ้าใสกระจ่าง เรายืนดูดวงดาวเงียบๆ ริมทะเลสาบท่ามกลางความหนาวเหน็บ ได้ยินเสียงความเงียบสลับกับเสียงลมหายใจของตนเอง  เช้าวันรุ่งขึ้น จุดหมายปลายทางของวันนี้คือที่ เฉาไห่ หรือ 'ทะเลหญ้า' เป็นอ่าวแหลม ๆ แห่งหนึ่งในหลูกูหู แต่มีลักษณะพิเศษคือมีหญ้าและพืชน้ำขึ้นอยู่เต็มบริเวณ ทั้งสองฟากมีหมู่บ้านเก่าแก่ซึ่งเชื่อมต่อกันด้วยสะพานไม้ยาวเหยียด ทราบมาว่าบริเวณนี้เป็นจุดชมนกที่สำคัญแห่งหนึ่งด้วย แต่ช่วงที่เรามานี้ไม่ใช่ฤดู ไม่มีนกสักตัว

นอกจากความงามทางธรรมชาติแล้ว วิถีชีวิตชาวโมโซที่อาศัย อยู่ริมทะเลสาบก็เป็นเสน่ห์ตรึงใจชาวโลกเช่นกันนะค่ะ  ชาวโมโซยังรักษาธรรมเนียมดั้งเดิมของครอบครัวโดยที่ผู้หญิงเป็นใหญ่ในบ้านจนผู้หญิงที่เก่งที่สุดจะเป็นผู้ปกครอง ในครอบครัว ชาย-หญิงจะไม่แต่งงานกัน แต่อยู่ด้วยกันเป็นครั้ง คราวได้ โดยต้องไปค้างคืนที่บ้านฝ่ายหญิง เมื่อชาวโมโซมีอายุถึง13ปีก็จะเชิญพี่ชายหรือน้องชายของคุณแม่และผู้ใหญ่ในตระกูลสายเดียว กันจัดพิธีฉลองการบรรลุนิติภาวะ เป็นสัญลักษณ์แสดงว่า เด็กได้โตเป็นหนุ่มหรือสาว สามารถเข้าร่วมกิจกรรมคบค้าสมาคม และไปหาคู่รักอย่างเสรีได้แล้ว หากชายหญิงรักกัน ฝ่ายชายก็จะมอบเครื่องประดับทั้งทอง เงินหรือหยก ลูกประคำและแถบผ้าไหมให้ฝ่ายหญิงตามกำลังทรัพย์ ของตน ส่วนหญิงสาวก็จะนำเครื่องประดับที่ตนเองชอบให้ฝ่ายชาย นับเป็นสิ่งยืนยันความสัมพันธ์ที่เป็นเพื่อนสนิทพิเศษที่เรียกว่า "อาเซี่ย"กัน แต่ก็มีบางคน พบครั้งเดียวก็รักกันสร้างความสัมพันธ์เป็น "อาเซี่ย"ผู้ชายจะช่วยทำงานที่บ้านตนเองในกลางวันและไปค้างคืนที่บ้านผู้หญิงในกลางคืน เช้ารุ่งขึ้น ก็กลับบ้าน ความสัมพันธ์ของ "อาเซี่ย"จะยั่งยืนแค่ไหนขึ้นอยู่กับความรักของสองฝ่าย นานที่สุดอาจ จะถึงหลายสิบปี ที่สั้นที่สุด อาจจะมีไม่กี่วันก็ได้ หากสองฝ่ายไม่รักกันอีกแล้ว หรือมีฝ่ายหนึ่งไม่รักอีกฝ่ายหนึ่งแล้ว ก็จะยกเลิกความสัมพันธ์"อาเซี่ย"กันอย่างอัตโนมัติ  เนื่องจากชายกับญิงไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน จึงไม่มีการ ทะเลาะเบาะแว้ง พวกเขาให้เกียรติซึ่งกันและกัน เมื่อผู้หญิงคลอดบุตรแล้ว แม่หรือพี่สาวน้องสาวของฝ่ายชายก็จะ นำสิ่งของจำนวนมากไปเยี่ยม แม้ฝ่ายชายไม่ต้องดูแลลูก แต่เมื่อรู้ว่า เด็กคนไหนเป็นลูกของตนเองก็ต้องไปเยี่ยมและช่วยดูแล เป็นประจำ ส่วนลูกก็จะไหว้คุณพ่อในยามจัดพิธีเป็นชายหนุ่มหรือหญิง สาวเต็มตัวที่เรียกว่า"เฉินติง"และต้องไปกล่าวอวยพรปีใหม่ที่บ้านพ่อ  เนื่องจากสมาชิกในครอบครัวที่มีความสัมพันธ์เป็นเชื้อสาย เดียวกัน จึงสนิทสนมกันมากโดยไม่มีการทะเลาะวิวาทกัน ระบบครอบครัวที่มีเอกลักษณ์นี้ได้กลายเป็นข้อมูลตัวอย่างสังคมแบบที่แม่เป็นใหญ่ในการวิจัยทางมนุษยวิทยาและสังคมวิทยา ทั้งนี้ไม่ เพียงแต่ดึงดูดนักวิชาการทั้งภายในและนอกประเทศไปทำการวิจัยเท่านั้น หากยังดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากด้วย


ขอบคุณข้อมูลและภาพสวยๆ
http://www.thaibizchina.com
http://www.tenpointstravel.com
http://thai.cri.cn

วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555

แชงกรีล่า เมืองแห่งหลังคาโลก


       
   แชงกรีล่า เมืองแห่งหลังคาโลก

        แชงกรีล่า เมืองแห่งหลังคาโลก สุดขอบประเทศจีน ชายแดนทิเบตที่นี่ที่เดียวที่ทำให้ฉันตัดสินใจไปทริปนี้ เป็นสถานที่ที่ใฝ่ฝันและตั้งใจไว้แล้วว่าวันหนึ่งต้องไปให้ถึง ในที่สุดก็มาทริปนี้แหละค่ะ
มาตามรอยเส้นทางสู่แชงกรีล่ากับการเดินทางของทริปนี้ ผ่านเมืองลี่เจียง เส้นทางจากต้าลี่ไปถึงลี่เจียงนั้น เป็นทางค่อนข้างราบ สองข้างทางวิวสวยมากก ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ทำการเกษตร จริงๆใช้เวลาเดินทางจากต้าลี่เข้าเมืองลี่เจียงประมาณ 5 ชั่วโมงเพราะจุดหมายของฉันคือ แชงกรีล่า

       วันนี้นั่งรถทั้งวันจริงๆ เส้นทางก็ขรุขระ ปีนป่าย ขึ้นเขา วกวน เรียกว่านั่งรถกันจนเหนื่อยเลยทีเดีย แต่
ระหว่างทางไปแชงกรีล่าจะต้องอาศัยคนขับรถที่มีความชำนาญเส้นทางและฝีมือดีมากๆ เพราะเส้นทางเป็นไหล่เขาทั้งนั้น แล้วก็ผ่านวัดหลังนี้ที่ตั้งอยู่บนเขา วิวสวยมากกกก เราเริ่มเห็นวัฒนธรรมแบบทิเบตไปเรื่อยๆทั้งวัดและผู้คนวิวข้างบนสวยมากก แวะที่วัดได้ประมาณ 20 นาที ก่อนจะขึ้นไปแชงกรีล่า หุบเขาเสือกระโจน หนึ่งใจสถานที่ที่ต้องแวะไปค่ะหุบเขาเสือกระโจน โค้งแรกแม่น้ำแยงซีเกียง ที่นี่เริ่มเห็นเทือกเขาหิมะกันแล้ว วิวสวยมากกพอไปถึงหุบเขาเสือกระโจน รู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ พอไปยืนอยู่ตรงหุบเขา รู้สึกเลยว่า มนุษย์นั้นช่างตัวเล็กนัก เมื่อเทียบกับธรรมชาติอันยิ่งใหรู้สึกถึงความอลังการอย่างแรง  ถึงตอนนี้ฉันต้องเริ่มฟิตแล้วค่ะ เพราะฉันต้องเดินขึ้น - ลงบันไดเกือบ 300 กว่าขั้น
(แม่เจ้าจะไหวไหมเนี๊ยะ) ไหวไม่ไหวตอนนี้ฉันก็อยู่ในจุดที่สูงเกือบ 3000 เมตรจากระดับน้ำทะเล ต้องย้ำเตือนตัวเองว่าค่อยๆ เดิน ห้ามวิ่ง หายใจช้าๆ ทำอะไรช้าๆ ไม่งั้นเดี๋ยวจะหายใจไม่ทันเน้อ
        จากนั้นฉันก็มุ่งหน้าสู่แชงกรีล่า ผ่านหุบเขา ต่างๆ มากมาย ใช้ระยะเวลาเดินทางอีกประมาณ 3 ชม. ไปถึงแชงกรีล่าเกือบๆ สองทุ่ม ซึ่งขณะนั้นยังสว่างอยู่เลย สองทุ่มแล้วพระอาทิตย์เพิ่งตกดินเองอ่ะไปถึงโรงแรมแล้ว อากาศหนาวมาก มองอะไรไม่เห็นทั้งสิ้น รู้แต่ว่า หนาว คืนนี้ฉันก็ต้องรีบนอนให้เร็วพราะพรุ่งนี้ต้องเตรียมความพร้อมสำหรับขึ้นภูเขาหิมะ
        ตอนเช้าที่แชงกรีล่าอากาศหนาวมาก  สถานที่แรกในแชงกรีล่าคือวัดโบราณเป็นสถานที่ที่คิดว่าทุกคนคงเคยเห็นมาแล้ว ไม่ว่าจะผ่านรูป เหมือนกันค่ะ เคยเห็นมาบ่อย จนอยากมาเห็นด้วยตาตัวเอง วันนี้ได้เห็นแล้วบ้านเรือนที่ปลูกซ้อนกันบนเขา ล้อมรอบไปด้วยภูเขาหิมะ ดูเก่าแก่ มีมนต์ขลังยังไงไม่รู้บอกไม่ถูกแต่ในสายตาฉันรู้สึกว่ามันสวยมาก ชอบ โดยส่วนตัวเป็นคนหลงใหลในวัฒนธรรมอินเดีย เนปาล ทิเบต ถึงจะไม่ได้ไปถึงทิเบต แต่ที่แชงกรีล่านี่ก็ตอบโจทย์ได้ค่อนข้างมากทีเดียวเนื่องจากที่นี่ถึงแม้จะเป็นประเทศจีน แต่มีผู้คนชนเผ่าทิเบตอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก บ้านเรือน วัด และวัฒนธรรมต่างๆ ของทิเบต เลยเอียงไปทางทิเบตมากกว่าจีนส่วนตัวฉันเดินไปเรื่อยๆ ในที่ที่ไม่ค่อยมีคน
ฉันอยู่ที่วัดนี้เกือบชั่วโมงพยายามถ่ายรูป เก็บไว้ให้มากที่สุดสิ่งหนึ่งที่ค้นพบระหว่างเดินดูบ้านเรือนของคนที่นี่คือพระที่นี่รวยมาก มีรถยนตร์ขับกับเกือบทุกคนและที่นี่นอกจากคนจะดุแล้วหมายังดุด้วยขณะที่ฉันเดินเข้าไปในวัดที่ไม่มีคนเลย ไม่มีนักท่องเที่ยวเดินเข้ามาซักคน เพราะเป็นวัดที่อยู่ด้านหลัง
หลังจากกลับจากวัดโบราณ เราก็ไปต่อที่เมืองโปรานกันค่ะ        

เมืองโบราณที่นี่ก็คล้ายๆ ถนนคนเดินช้อปปิ้งทั่วไปค่ะมีบ้านเรือน บาร์ เกสเฮ้าต์ ร้านขายของต่างๆ มากมาย ของถูกใช้ได้ สำหรับพวกเครื่องหนังแฮนเมดต่างๆมีเวลาแค่ 30 นาที คนใคร่ถ่ายรูปก็ถ่ายรูปไป คนใคร่ช้อปปิ้งก็ช้อปกันพูดกันไม่รู้เรื่อง ก็สามารถต่อราคากันเอาเป็นเอาตายได้
สิ่งหนึ่งที่ฉันสงสัยในวัฒธรรมของชาวทิเบตคือธงสีต่างๆ ที่แขวนไว้ตามบ้านเรือน ในวัด หรือสถูปต่างๆ ที่มีอยู่เกือบทุกที่ในทิเบต หรือที่แชงกรีล่าแห่งนี้ ธงสีพวกนี้มันมีความหมายว่าอะไร ข้องใจมาก ว่า
"ธงมนตรา" เป็นความเชื่อที่ว่ามนตราแห่งธงจะนำสิ่งที่ดีมาในบริเวณใกล้เคียง เปรียบเสมือนเครื่องรางของขลัง

การแขวนธงมนตรานั้นจะมีการเปลี่ยนใหม่ในทุกๆปี ในวันปีใหม่ตามปฏิทินของชาวทิเบต ธงมนตราผืนเก่าจะถูกเผา เนื่องจากความเชื่อที่ว่าธงมนตรานั้นเป็นของศักดิ์สิทธิ์บนผืนธงนั้นเป็นสัญลักษณืของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่สมควรที่จะทิ้งตามพื้นหรือเอาไปทำอย่างอื่นอย่างใด ดังนั้นเวลาเปลี่ยนธงมนตราในแต่ละครั้งธงผืนเก่าจะถูกเผาทั้งหมด ส่วนธงผืนใหม่นั้นจะถูกแขวนแทนที่ การแขวนธงมนตรานั้นต้องดูฤกษ์ดูยามให้ดีและเหมาะสมด้วย หากแขวนในวันที่ฤกษ์ไม่ดีแล้ว ธงนั้นจะส่งผลไปในทางที่ไม่ดีให้กับผู้แขวนเช่นกัน
ชาวทิเบตเชื่อว่าเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการแขวนธงมนตรานั้น คือในช่วงเช้าที่พระอาทิตย์สาดส่องอ่อนๆ ลมพัดไม่แรงคือพัดเอื่อยๆกำลังดี ท้องฟ้าสดใส ชาวทิเบตเชื่อว่าธงมนตรานั้นจะแสดงอิทธิฤทธิ์ของมนตราเมื่อลมพัดกระทบกับธงและธงพัดสะบัดไปตามลม มนตราที่อยู่บนผืนธงจะแสดงอิทธิฤทธิ์ปกป้องคุ้มครองจากภัยอันตรายและสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายให้เลยพ้นไป และในขณะเดียวกันจะเป็นการแผ่บุญกุศลไปให้กับวิญญาณและสรรพสัตว์
ธงมนตรานั้นจะมีด้วยกัน 2 ประเภท คือ แบบตั้งตรง เรียกว่า ลังตา และแบบแขวนยาวเรียกว่า
ดาร์โฌ่ช์ คำว่า ดาร์โฌ่ช์  ในภาษาทิเบตนั้นมีความหมายที่ดีทั้งสองคำ คำว่า ดาร์ หมายถึง การต่อชีวิต หรือมีชีวิตที่ยืนยาว โชคลาภ สุขภาพที่ดี ส่วนคำว่าโฌ่ช์ นั้นมีความหมายว่า การดำเนินชีวิตที่เป็นไปอย่างราบรื่นไร้อุปสรรค
ธงมนตรานั้นจะมีด้วยกัน 5 สี แต่ละสีนั้นเป็นเสมือนตัวแทนของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ และธาตุทั้ง 5 ตามความเชื่อ การแขวนธงมนตราจะเริ่มต้นด้วย สีเหลือง สีเขียว สีแดง สีขาว และ ท้ายสุดคือสีน้ำเงิน
สีแดง เป็นตัวแทนของ Amitabha Buddha และธาตุไฟ
สีน้ำเงิน เป็นตัวแทนของ Akshobhya Buddha และธาตุจักวาล
สีเขียว เป็นตัวแทน Amoghasiddhi Buddha  ธาตุอากาศ และลม
สีเหลือง เป็นตัวแทนของ Vairojana Buddha และธาตุดิน
สีขาว เป็นตัวแทนของ Ratna Sambhava Buddha และธาตุน้ำ
     ในสมัยก่อนการพิมพ์รูป คำสวดต่างๆ ลงบนธงสี่เหลี่ยมนี้นิยมใช้บล๊อคไม้แกะเป็นลาย แต่ในปัจจุบันส่วนมากนิยมใช้เครื่องพิมพ์แล้ว  ในผืนธงมนตราจะมีการพิมพ์รูปม้าแบก สัญลักษณ์ของศาสนาพุทธไว้สามสิ่ง ส่วนบริเวณด้านมุมทั้งสี่มุมจะมีรูป ครุฑ มังกร เสือ และสิงโตหิมะ สัตว์ทั้งสี่นี้เป็นเป็นสัตว์ที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสัญลักษณ์ของความโชคดีทั้งสี่คือ ความรู้แจ้ง พลัง การหลุดพ้น และความกล้าหาญ น่าเกรงขาม    หลายคำสวดจะถูกพิมพ์ลงบนผืนธงเดียวกัน รวมถึงคำสวดอ้อนวอนขอความเมตราจากพระโพธิสัตว์ ดาราเขียว คือ โอม ตารา ตู ตารา ตูเร โชฮา และคำสวดบูชาพระโพธิสัตว์ อวโรกิเตศวร โอม มณี เปดทะเม ฮูม เสมอไป   ไม่มีใครทราบว่าธงมนตรานี้ได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาใด เพราะในศาสนาพุทธไม่มีจารึกเกี่ยวกับเรื่องธงมนตรานี้เลย อาจเป็นไปได้ว่าธงมนตรานี้ได้รับอิทธิพลจากศาสนาเก่าของชาวทิเบตคือศาสนา บอน ศาสนาแรกที่ชาวทิเบตนับถือก่อนที่จะมานับถือศาสนาพุทธ
     ตามวัดของทิเบตจะไม่มีที่ฝังศพ เพราะคนทิเบตมีวิธีจัดการกับศพอยู่สองแบบคือ
1 ถ้าคนมีฐานะ เมื่อตายลงไป จะโดนสับร่างกายเป็นชิ้นๆ แล้วโยนให้กากิน เพราะเชื่อว่ากาที่กินซากศพนั้นจะพาศพขึ้นสวรรค์
2. ถ้าคนฐานะระดับล่าง ก็จะหั่นศพแล้วนำไปโยนลงแม่น้ำเอ่อ อันไหนโหดร้ายกว่ากัน
     ทำไมตอนขึ้นไปแชงกรีล่ารู้สึกว่านั่งรถนานมากก และมันไกลมากกกว่าจะไปถึงแต่ทำไมขากลับมันลงมารวดเร็ว  ประทับใจกับแชงกรีล่าแล้วละซิเรา
ขอบคุณข้อมูลและภาพสวยๆๆๆ

http://janjow.exteen.com
http://www.meetaweetour.co.th

วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ไหว้พระขอพรเที่ยวเมืองซัวเถา


เมือง ซัวเถา


       ซัวเถา ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีนในมณฑลกวางตุ้ง มีชายฝั่งทะเลยาว 325 กิโลเมตร เมืองซัวเถา ในอดีตเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ซึ่งต่อมาในศตวรรษที่ 18 ถูกยกระดับฐานะขึ้นเป็นเมืองท่านานาชาติ ก่อนจะกลายมาเป็น 1 ใน 4 เมืองเขตเศรษฐกิจพิเศษของจีน อันประกอบไปด้วย เซินเจิ้น , จูไห่ , เซี่ยะเหมิน และซัวเถา ปัจจุบันมีสถานะเทียบเท่ากับเมืองเซินเจิ้น , จูไห่และเซี่ยะเหมิน ซึ่งเป็นศูนย์กลางธุรกิจการค้าในแถบภูมิภาคของจีนแถบนี้



1. เฮี้ยงบู้ซัว (อยู่ระหว่างกวางเจา กับ ซัวเถา) ตั้งอยู่ที่อำเภอลู่เฟิง สร้างในสมัยราชวงศ์ซ่ง มีการบูรณะซ่อมแซมมากมาย จนกลายเป็นศาลเจ้าของศาสนาเต๋าที่ใหญ่โต มีผู้คนศรัทธามาบูชาอยู่เสมอ ปัจจุบันเฮี้ยงบู้ซัวได้ผสมผสานกับศาสนาพุทธให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ทำให้ฉันได้นมัสการเจ้าพ่อเสือ ซึ่งถือเป็นองค์จริงที่ทางไทยได้จำลองมาสู่ศาลเจ้าพ่อเสือบริเวณเสาชิงช้า ซึ่งคนส่วนใหญ่หลังจากนมัสการที่
เฮี้ยงบู้ซัวนี้แล้ว กลับมาก็จะทำการค้าขึ้นประสบแต่ความสำเร็จในชีวิต ทุกๆปีจะมีผู้ที่มาบนบานและแก้บนเป็นจำนวนมากเลยค่ะ ฉันมาถึงที่นี้แล้วถ้าไม่ไปบนบานขอพรก็ไม่ได้ขอนิดหนึ่งแล้วกันค่ะ อิอิ ภายในวัดมีทั้งเทวรูปเจ้าแห่งภาคเหนือ ซึ่งเป็นเทวรูปที่รักษาดูแลเรื่องน้ำ ประดิษฐานปิดทองอยู่ในศาลเจ้าพร้อมกันนั้นก็ยังมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ในวิหารหน้า เป็นสถานที่สักการะบูชาของคนซัวเถาอย่างกว้างขวาง และเป็นสถานที่ที่ชาวจีนโพ้นทะเล โดยเฉพาะชาวจีนในประเทศไทยจะนับถือกันมาก


2. เกาะหม่าสือ   ซึ่งเป็นเกาะที่มีทิวทัศน์สวยงามเป็นเกาะศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวจีนทั้งในและต่างประเทศให้ความนับถือ เกาะหม่าสือเป็นเกาะขนาดเล็ก มีเนื่อที่ 0.90 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่บริเวณปากอ่าวซัวเถา ให้ท่านขอพรจาก “ ไฮตังม่า ” เจ้าแม่ทับทิม ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองชาวจีนแต้จิ๋วที่อยู่ติดทะเล และมีวิถีชีวิตอยู่กับทะเล ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองชาวจีนแต้จิ๋วที่อยู่ติดทะเลและมีวิถีชีวิตอยู่กับทะเล

3. เมืองแต้จิ๋ว      เป็นเมืองโบราณ เป็นต้นกำเนิดของ “วัฒนธรรมจีนโพ้นทะเล” แห่งสำคัญอีกแห่ง ที่ต้อนรับการกลับบ้านของชาวจีนทั่วโลกด้วยตึกรามบ้านช่องแบบโบราณที่บางแห่งมีประวัตินับพันปีอย่างไม่เปลี่ยนแปลง

4. วัดไทย   ฉันได้เข้าชมศาลาไทยที่สวยงามที่สร้างจากความร่วมมือร่วมใจของคนจีน คนไทยเชื้อสายจีน และคนจีนที่อยู่ต่างแดน ซึ่งเป็นวัดที่สร้างขึ้นมา ตามต้นแบบของวัดไทยทุกอย่างสวยงามมากๆๆค่ะ


5. วัดไคหยวน  วัดที่ใหญ่ที่สุดของเมืองแต้จิ๋ว วัดสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ถังราว ค.ศ. 738 สมัยจักรพรรดิถังสวนจง (หมิงตี้) บางส่วนเป็นศิลปะสมัยราชวงศ์ซ่งและหยวน ประตูใหญ่ที่คนเข้าออก (ซานเหมือน) มีท้าวโลกบาล (เทียนหวัง) อยู่ด้านซ้ายขวาข้างละ 2 องค์ ตรงกลางเป็นรูป พระศรีอาริยเมตไตย อาคารหลักเรียกว่า ต้าฉงอู่เตียน เป็นวิหารกลาง ปลูกบนยกพื้นหินแกรนิต ภายในมีพระปฏิมาประธาน 3 องค์ ตรงกลางเป็นพระศากยมุนี ข้างซ้ายเป็นพระไภษัชยคุรุ ด้านขวาเป็นพระอมิตาภะ ริมผนังสองด้านเป็นพระอรหันต์ข้างละ 9 องค์ รวมเป็น 18 ที่เรียกว่า จับโป้ยหล่อฮั่น ตรงกลางเป็นพระแม่กวนอิมเหยียบบนปลาหลีฮื้อ เรียกว่า กวนอิมทะเลใต้ ประติมากรรมทั้งหมดนี้สร้างขึ้นใหม่ แต่มีความงดงามมากฉันเพลิดเพลินกับการชมความงามของวัดไคหยวน


6. สะพานเซียงจื่อ   เป็นสะพานโบราณข้ามแม่น้ำหานเจียง มีชื่ออีกชื่อว่าสะพานกว่างจี้ ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของตัวเมืองแต้จิ๋ว เริ่มสร้างในสมัยราชวงศ์ซ้ง ตรงกับปี ค.ศ. 1170 โดยใช้เวลาสร้างยาวนานถึง 57 ปี มีความยาว 515 เมตร ช่วงกลางสะพานซึ่งเป็นช่วงที่กว้างที่สุด มีความกว้างประมาณ 100 เมตรเป็นสะพานแห่งแรกของเมืองจีนที่เปิดปิดได้ (ไม่ได้ขึ้นบนสะพาน)ซึ่งอยู่ทางด้านเหนือของเมืองเฉาหยางแต่เดิมเป็นสุสาน ของซ่งไต่ฮงกงโจวซื่อ และได้มีการปฏิสังขรณ์ให้มีอาณาบริเวณกว้างขึ้นกว่าเดิม สิ่งที่ดึงดูดใจผู้คนมากที่สุดคือ ศาลาไต่ฮงกง ซึ่งมีความยาว 22 เมตร. สูง 14 เมตร โดยใช้เสาหินขนาดยักษ์ 16 ตันค้ำไว้ ภายในศาลามีรูปแกะสลักของท่านไต่ฮงกงประดิษฐานอยู่ โดยใช้หยกขาวที่นำเข้ามาจากประเทศพม่ามาแกะสลัก  เป็นที่นับถือของชาวจีนในพื้นที่และชาวจีนโพ้นทะเล และชาวจีนในประเทศไทยได้รวบรวมกันบริจาคเงินในการซ่อมแซม บูรณะสุสานแห่งนี้จนใหญ่โต สวยงามดังที่ได้เห็นในปัจจุบัน

8. วัดแปะฮวยเจียม หรือ วัดดอกไม้ขาว  ซึ่่งมีการสร้างศาลเจ้าใหญ่โตตามความเชื่อของศาสนาเต๋ามาตั้งแต่ดั้งเดิมนานหลายร้อยปี และมีการขยายบูรณะใหม่เมื่อ 15 ปีที่ผ่านมา ภายในตั้งองค์เทวรูปต่างๆตามแบบศาสนาเต๋า เช่น อี้หวางฮ่องเต้ กษัตริย์สูงสุดบนสวรรค์ ( พระเจ้าหยก )และเทวรูปต่างๆ เจ้าแม่สวรรค์ชั้นเก้า ซึ่งเป็นมารดาของพระเจ้าหยก และแต่ละชั้นของสวรรค์ก็ยังมีเจ้าแม่แต่ละองค์ดูแลศาลเจ้าแห่งนี้ มีผู้คนศรัทธามากราบไหว้มาก

    ฉันมาเที่ยวที่เมืองซัวเถาครั้งนี้ไม่ผิดหวังเลยจริงๆๆค่ะเพราะได้ทำบุญไหว้พระขอพรจากสิ่งศักดิ์สิ่งและยังได้ชมความงดงามของวัดต่างๆอีกด้วยค่ะได้เที่ยวพร้อมอิ่มบุญไปพร้อมๆๆกันมีความสุขมากสำหรับทริปนี้ค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพสวยๆๆ

http://www.wonderfulpackage.com
http://www.choktaweetour.com

"กวางเจา"...เมืองแพะ



"กวางเจา"...เมืองแพะ

  และแล้วในที่สุดดิฉันก็ได้มาเยือนเมืองเอกของมณฑลกวางตุ้ง หรือเมือง "กวางเจา" กันเสียที       
เมืองกวางเจานี้ได้ชื่อว่าเป็น "เมืองแพะ" เนื่องจากมีตำนานเล่าขานกันต่อมาว่า ในสมัยราชวงศ์โจว เทพห้าองค์มองเห็นเมืองกวางเจาแห้งแล้งอยู่ในภาวะข้าวยากหมากแพง จึงทรงประทับแพะซึ่งคาบรวงข้าวลงมาจากสวรรค์มาให้ชาวบ้าน และได้ดลบันดาลให้เมืองกวางเจามีความเจริญและอุดมสมบูรณ์ จากนั้นเทพทั้งห้าก็หายไป คงเหลือไว้แต่เพียงแพะทั้ง 5 ตัวที่กลายเป็นหิน ชาวเมืองจึงถือว่าแพะเป็นสัตว์สัญลักษณ์ประจำเมืองจนทุกวันนี้ กวางเจาจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า "เมืองแพะ" หรือ "หยางเฉิน" และมีอนุสาวรีย์ 5 แพะ ให้ชมกันอยู่ในสวนสาธารณะเยี่ยวซิ่ว ใจกลางเมืองกวางเจาค่ะ

      สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองกวางเจานั้น ก็มีอยู่หลายที่ด้วยกัน สำหรับที่แรกที่ดิฉันจะได้ไปเที่ยวนั้นก็คือ "บ้านตระกูลเฉิน" หรือบ้านของเหล่าคนแซ่เฉิน ซึ่งเป็นแซ่ใหญ่ 1 ใน 5 ของคนกวางเจา "บ้าน" หรือที่ควรจะเรียกว่า "คฤหาสน์" หลังนี้สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิง โดยคนตระกูลเฉินร่วมกันออกเงินสร้างเพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่ตระกูลของตัวเอง และได้กลายเป็นโรงเรียนตระกูลเฉิน ต่อมารัฐบาลจีนได้บูรณะซ่อมแซมเป็นครั้งใหญ่ และประกาศให้เป็นสถานที่อนุรักษ์ เพราะมีสถาปัตยกรรมที่งดงามมีคุณค่า    แต่จุดเด่นของคฤหาสน์ตระกูลเฉินที่แจ่มชัดที่สุดก็คงเป็นศิลปะและสถาปัตยกรรมของตัวบ้านนั่นเอง ลวดลายอันเป็นมงคลที่ประดับอยู่บนหลังคานั้นทำด้วยเซรามิคที่ปั้นเป็นรูปคนและรูปสัตว์ต่างๆด้วยความประณีต เมื่อผ่านประตูใหญ่เข้าไปยังด้านในก็จะเห็นฉากไม้ขนาดใหญ่แกะสลักเป็นลวดลายอันละเอียดและงดงาม ภายในก็มีการจัดแสดงข้าวของอย่างพวกเครื่องกระเบื้อง งานไม้ งานแกะสลักต่างๆ และยังแบ่งเป็นห้องๆเพื่อจัดแสดงสภาพบ้านเรือนของคนกวางเจาในอดีต 

      ไม่ไกลกันนักก็คือ "อนุสรณ์สถาน ดร.ซุน ยัตเซ็น" ที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึง ดร.ซุนยัตเซ็น ซึ่งถือว่าเป็นบิดาของชาวจีน เป็นผู้ปลดปล่อยชาวจีนจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชที่ปกครองประเทศจีนมาเป็นเวลาหลายพันปี โดยบ้านเกิดของเขานั้นก็อยู่ที่เมืองเซียงซัน ในกวางเจานี้เอง
   
 ที่ต่อมาดิฉันได้เข้าไปชมที่ "พิพิธภัณฑ์สุสานกษัตริย์หนานเยว่"สุสานกษัตริย์โบราณสมัยสมัยซีฮั่น เป็นสุสานของราชวงศ์ฮั่นตะวันตกที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุด และยังถือเป็น 1 ใน 80 พิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงของโลกอีกด้วย   ดูจากตัวตึกภายนอกแล้วคงไม่มีใครคิดว่าที่นี่คือสุสาน เพราะตัวตึกภายนอกดูเหมือนเป็นพิพิธภัณฑ์ดูทันสมัยสุดๆ แต่เมื่อเข้าไปชมภายในแล้วก็พบว่ายังคงรักษาสภาพโบราณของสุสานนี้ไว้ได้เป็นอย่างดี สุสานแห่งนี้เป็นของฮ่องเต้องค์ที่สองแห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ตัวสุสานนั้นต้องขุดลึกลงไปใต้ดินถึง 20 เมตร ซึ่งดิฉันสามารถเดินลงไปชมกันได้ ภายในสุสานแบ่งเป็นห้องๆ ซึ่งเป็นห้องสำหรับฝังพระศพของกษัตริย์และมเหสีของพระองค์ โดยในแต่ละห้องนั้นก็มีสมบัติพัสถานอีกมากมายที่ถูกฝังไปด้วยกันตามความเชื่อ แต่ปัจจุบันนี้ตัวสุสานก็เหลือเพียงห้องเปล่าๆ ส่วนสมบัติต่างๆ ที่ขุดขึ้นมาได้นั้นก็ถูกนำมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์นั่นเอง
              
       คราวนี้ไปเพลิดเพลินกับบรรดาสิงสาราสัตว์กันที่ "Xiangjiang Safari Park" กันบ้างดีกว่า สวนสัตว์แห่งนี้อยู่นอกเมืองไปสักหน่อย แต่ยังคงอยู่ในเมืองกวางเจานี่เอง ที่นี่มีสัตว์ชนิดต่างๆ อยู่กว่า 20,000 ตัว และกว่า 450 สายพันธุ์ นั่งรถรางของทางสวนสัตว์เพื่อเข้าไปชมสัตว์ต่างๆ ซึ่งก็ได้แก่สัตว์ในแถบโซนแอฟริกา เช่น สิงโตแอฟริกา แรดขาว ฮิปโปโปเตมัส เสือชีตา ม้าลาย ยีราฟ นกกระจอกเทศ สัตว์นักกล่าอย่างพวก เสือขาว สิงโต เสือดาว เสือเบงกอล หรือสัตว์จำพวกกวาง เก้ง นกยูง และอูฐ ก็มีให้ชมด้วยเช่นกัน  ส่วนในโซนของการเดินเท้าชมสัตว์ ก็ต้องไม่พลาดชมเจ้าหมีแพนด้าที่มีอยู่เป็นสิบตัว หมีโคอาล่าจากออสเตรเลียก็กำลังมีลูกตัวเล็กๆ เกาะหลังแม่ก็น่ารักไม่น้อย และสัตว์ชนิดอื่นๆอีกมากมาย เรียกว่าหากจะชมกันจริงๆ จังๆแล้วก็หมดวันเลยทีเดียว  แต่ความบันเทิงภายในบริเวณสวนสัตว์ยังไม่หมดเท่านี้ เพราะที่นี่ถือว่าเป็นแหล่งรวมความสนุกสนานแบบครบครัน มีทั้งสวนสนุก สวนน้ำ สวนจระเข้ คณะละครสัตว์นานาชาติ สนามกอล์ฟ แล้วก็โรงแรมอยู่ในบริเวณเดียวกันอย่างพร้อมสรรพเลยทีเดียว และที่ฉันไม่อยากให้พลาดก็คือการชมละครสัตว์ ซึ่งมีคณะนักแสดงจากประเทศรัสเซียซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องของกายกรรมมาร่วมให้ความบันเทิง พร้อมกับสัตว์ต่างๆที่ถูกฝึกมาอย่างดีก็เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของผู้ชมได้ตลอดการแสดง

        ปิดท้ายด้วยทริปนี้ที่ดิฉันไม่ยอมพลาดอยู่แล้ว นั่นก็คือ การช้อปปิ้ง โดยที่เมืองกวางเจานี้ก็ถือเป็นสวรรค์ของนักช้อปปิ้งเช่นเดียวกัน เพราะเมืองนี้เป็นแหล่งผลิตสินค้าแหล่งใหญ่ของโลก ด้วยความที่ค่าแรงถูก บริษัทต่างๆ จึงมาลงทุนตั้งโรงงานผลิตที่กวางเจา แล้วส่งออกขายไปยังประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องหนัง หรือสินค้าจำพวกของเล่นในร้านกิ๊ฟท์ช้อปต่างๆ
     
       "เป่ยจิงลู่" หรือ ถนนปักกิ่ง ก็เป็นแหล่งช้อปที่คึกคักที่สุดแห่งหนึ่งในกวางเจา ถนนเส้นนี้นั้นสร้างทับถนนโบราณ จึงมีการเก็บรักษาสภาพของถนนเก่าเส้นนั้นไว้ให้ผู้คนที่มาเดินช้อปปิ้งได้ทราบถึงความสำคัญกันด้วย ที่นี่นั้นก็มีบรรยากาศคล้ายสยามสแควร์บ้านเราอ่ะ มีร้านค้าและตรอกซอกซอยให้เดินมากมาย และมีทั้งเสื้อผ้าแบรนด์เนม และแบบที่ต่อรองได้ให้เลือกช้อปกัน หรือหากจะอยากจะได้พวกของเล่นแบบร้านกิ๊ฟท์ช้อปน่ารักๆ ก็ต้องไปที่ตึก One Link ที่เป็นห้างใหญ่แปดชั้น มีข้าวของกระจุกกระจิกมากมายตามแต่จะนึกออก แต่มีข้อแม้ก็คือต้องซื้อในจำนวนมากๆ จึงจะได้ราคาถูก หากซื้อเพียงชิ้นสองชิ้นก็จะยังมีราคาแพงอยู่ ก็คล้ายๆสำเพ็งบ้านเรานั่นเอง ซึ่งของที่สำเพ็งส่วนหนึ่งก็นำมาจากกวางเจานี่เองแหละ
     
       ท่องเที่ยวกันไปในหลายเมืองของมณฑลกวางตุ้ง และมาปิดท้ายที่เมืองกวางเจา ก็เรียกได้ว่าเที่ยวกันแบบครบรสชาติ ทั้งไหว้พระ เยือนมรดกโลก ชมพิพิธภัณฑ์ เที่ยวสวนสัตว์ แถมยังได้ช้อปปิ้งสนุกสนานอีกต่างหาก ถือไม่เสียเที่ยวจริงๆที่ได้มาเยือนมณฑลกวางตุ้งในคราวนี้

ขอบคุณสำหรับข้อมูลและภาพสวยๆๆ

http://www.khonkaenlink.info
http://www.sawasdeechina.com/
http://www.manager.co.th/