วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ฉงชิ่ง เมืองที่ถูกขนามนามว่า “ฮ่องกงน้อย”


ฉงชิ่ง เมืองที่ถูกขนามนามว่า “ฮ่องกงน้อย”

       เมือง ฉงชิ่ง ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย และคุ้นหูกับนักท่องเที่ยวชาวไทยมากนัก เหมือนกับแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ในจีน เนื่องจากพึ่งแยกตัวเป็นอิสระจากมณฑลเสฉวนมาเพียง  10 ปีกว่าๆ แต่ฉงชิ่งในวันนี้นอกจากจะเป็นเมือง 1 ใน 4 มหานครของจีนและมีความสำคัญด้านเศรษฐกิจอันดับแรกในแถบตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ฉงชิ่งยังเป็นเมืองที่มีสีสัน แหล่งท่องเที่ยวมากมาย รออ้าแขนรับนักท่องเที่ยวทั่วสารทิศของมุมโลกมาสัมผัสความเป็นฉงชิ่งที่อาจจะหาไม่ได้จากที่ใดในประเทศจีน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวไทย การเดินทางมาเที่ยวเมืองแห่งภูเขาแห่งนี้ก็แสนง่าย เพราะมีเครื่องบินตรงจากไทยมายังฉงชิ่งด้วยสายการบินเซี่ยงไฮ้แอร์ไลน์ จะบินทุกวันอังคารและวันอาทิตย์ หรือหากจะบินในวันอื่นก็สามารถเลือกสายการบิน เลือกเวลาได้อย่างอิสระ เพียงแต่ต้องแวะไปต่อเครื่องเดินเที่ยวมณฑลอื่นก็สักพัก ที่นิยมกันก็มี กวางโจว เซินเจิน มาเก๊า ฮ่องกง เฉิงตู ฯลฯ    ด้วยความที่ฉงชิ่งเป็นเมืองที่ไม่ใหญ่มาก (เทียบกับเมืองอื่นๆ ในจีน) และเป็นเขตเมืองซะเป็นส่วนมาก การเดินทางไปเที่ยวที่ต่างๆ จึงไม่เป็นปัญหาใหญ่ นั่งรถต่อเรือขึ้นเคเบิ้ลชมวิวภูเขาดูแม่น้ำลำธารได้ตามใจชอบ แต่มีอยู่อย่างเดียวที่นักท่องเที่ยวไม่พึงกระทำคือการปั่นจักรยานเที่ยวเพราะเมืองนี้เป็นเมืองภูเขา ปั่นขึ้นเขา ลงเขา ปั่นไปปั่นมา เชื่อได้ว่านักท่องเที่ยวได้หอบกันแฮกๆ  ไม่มีความสุขแน่ๆ
                ที่เที่ยวที่นี่ก็มีหลากหลายให้เลือก อยากดูนกชมไม้ปีนเขาชมธรรมชาติ ก็หาได้ในฉงชิ่ง อยากล่องเรือดูน้ำใสๆ แลเห็นตัวปลาก็เชิญมาฉงชิ่ง อยากเดินดูเมืองโบราณ วัฒนธรรมจีนเก่าๆ  ที่นี่จัดให้ ใครเป็นคอประวัติศาสตร์แฟนพันธ์แท้การเมืองจีนสมัยยุคขั้วจีนเก่าจีนใหม่ก็มาเยือนที่ทำการและบ้านพักเดิมของผู้นำจีนสมัยนั้น อ๊ะ หรือใครอยากมาจีนเพื่อมาดูหมีแพนด้าสุดน่ารัก ใครว่าที่เฉิงตูมีที่เดียว เชิญมาพิสูจน์ความน่ารักแสนรู้ด้วยตัวคุณเองที่สวนสัตว์ฉงชิ่ง  สรุปว่าที่นี่มีทุกสไตล์หลากหลายอารมณ์ให้เลือกสรร ถูกใจนักท่องเที่ยวนานาอารมณ์  ประมาณว่าที่เที่ยวที่นี่มีหลากหลาย ตอบโจทย์ได้ทุกเพศทุกวัยเลยที่เดียว



วัดโหลวห้าน     อยู่บริเวณซื่อจีโคว  ค่าผ่านประตู 2 หยวน เวลาเข้าชม  8 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็น
การเดินทางไป    นั่งรถไปซื่อจีโคว จากนั้นก็เดินจากซื่อจีโควไป เดินไปนิดเดียวก็ถึงเมื่อดิฉันเดินชมความศิวิไลน์ของเมืองฉงชิ่งและแม่น้ำเจียลิงบรรจบกับแม่น้ำแยงซีจากเฉาเทียนเมน ดิฉันก็เดินลัดเลาะมาเรื่อยๆ มาสักการะพระพุทธรูปในวัดเก่าแก่อันเลืองชื่อประจำเมืองฉงชิ่ง วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่ที่มีมานานนับพันปี ภายในวัดมีรูปสลักพระพุทธรูปมากกว่า 500 องค์ รวมถึงพระพุทธรูปทองคำองค์ใหญ่ตั้งตระง่าอยู่ในวัด สำหรับใครที่ชอบการทำนายดวงชะตา วัดนี้คงทำให้หลายต่อหลายคนยิ้มออก เพราะนอกจากเมืองจีนจะหาหมอดูที่ไม่ใช่หมอเดาได้ยากมาก วัดนี้ยังมีการทำนายดวงชะตาโดยดูจากวันเดือนปีเกิด หากใครโดยเฉพาะผู้นับถือพุทธศาสนา หากมีเวลาว่างวัดนี้ก็เป็นทางเลือกในการท่องเที่ยวที่หนึ่งที่ชาวฉงชิ่งหรือ นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด แม้แต่ดิฉัน

วัดเบ๋าหลุ่น    อยู่บริเวณซื่อจีโคว ค่าผ่านประตู 5 หยวน  เวลาเข้าชม   7 โมงเช้า ถึง 6 โมงเย็น
การเดินทางไป  นั่งรถไปซื่อจีโคว จากนั้นก็เดินจากซื่อจีโควไป เดินไปนิดเดียวก็ถึงวัดนี้มีศิลปะการตกแต่งลักษณะคล้ายๆ วัดโหลวห้าน แต่รูปสลักพระพุทธรูปไม่มาเท่า วัดนี้นับเป็นอีกวัดหนึ่งเป็นถือว่าเก่าแก่มากๆ อีกวัดหนึ่งในบรรดาวัดพุทธที่หลงเหลือในเมืองฉงชิ่ง แม้ไม่มีใครสามารถระบุได้ว่าวัดนี้สร้างขึ้นเมื่อใด แต่จากหลักฐานปรากฏว่าวัดนี้ได้สร้างขึ้นมากกว่า 1000 ปีก่อนหน้านี้


คุกซาโก้        ภูเขาเกอเลอ  เวลาเข้าชม   9 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็นการเดินทางไป   นั่งรถไปเจี๋ยฟางเป่ย จากนั้นก็เดินจากเจี๋ยฟางเป่ย เดินไปประมาณ 15-20 นาที เดินเรียบ สำหรับใครที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์จีน โดยเฉพาะช่วงการสร้างจีนใหม่ คุกซาโก้เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด เพราะสถานที่แห่งนี้เป็นที่กบดานลับของเจียงไคเช็คที่อเมริกาแอบสร้างและสนับสนุน ในอดีตสถานที่นี้เป็นที่ทำการของกลุ่มสร้างชาติ (นำโดยเจียงไคเช็ค) และเป็นที่จองจำคนจีนที่มีอยู่ฝ่ายตรงข้ามและเป็นพวกสนับสนุนคอมมิวนิสต์  



ขอบคุณข้อมูและภาพสวยๆๆๆ
http://www.ichat.in.th  
http://www.mfa.go.th

วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เมืองเซี่ยงไฮ้ปารีสแห่งตะวันออก



         เมืองเซี่ยงไฮ้ ได้รับสมญานามว่าเป็น ปารีสแห่งตะวันออกในที่สุดล้อเครื่องบินก็แตะพื้นรันเวย์
ณ สนามบินนานาชาติผู่ตง เมืองเซี่ยงไฮ้ ก็นับได้ว่าเป็นสนามบินที่ใหญ่ที่สุดของจีน แต่ที่ว่าความสวยงามและอลังการณ์ยังไม่เท่าสุวรรณภูมินะ เซี่ยงไฮ้เป็นเมืองใหญ่มาก เป็นเมืองท่าและเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของจีน และยังมีประชากรมากกว่าเมืองหลวงอย่างปักกิ่งเสียอีก การเดินทางจากสนามบินผู่ตง ไปยังในเมืองเซี่ยงไฮ้นั้นมีหลายวิธีค่ะ วิธีที่เก๋ที่สุดที่อยากจะแนะนำก็เป็นการนั่งรถไฟความเร็วสูงที่ใช้แรงแม่เหล็ก หรือจะใช้บริการแท็กซี่ หรือวิธีที่ดูง่ายและประหยัดที่สุดก็คงจะเป็นการนั่งรถไฟฟ้าที่เป็นระบบขนส่งมวลชลธรรมดานี่แหละค่ะ
         การท่องเที่ยววันแรกนั้นจะเป็นการชมเมืองเซี่ยงไฮ้ค่ะ ที่กล่าวไปแล้วว่าเซี่ยงไฮ้เป็นเมืองใหญ่ เมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจดังของเซี่ยงไฮ้จึงแลดูเป็นเมืองที่ศิวิไลซ์ มีตึกหนาแน่นไม่แพ้นครไหน ๆ ของโลก ย่านสำคัญของนครเซี่ยงไฮ้  ย่านตึกเก่าสไตล์โคโลเนียล ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำ Huangpu ย่าน The Bund นี้ก็คือย่านที่กิจการเงิน ทำให้เซี่ยงไฮ้กลายเป็นเมืองท่าและเมืองศูนย์กลางการเงินการธนาคารของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้จะผ่านช่วงเวลาในระบอบคอมมิวนิสต์มาก็ตามปัจจุบันย่าน The Bund ยังคงสวยงามด้วยตึกเก่าหลายสิบหลังที่มีอายุเก่าแก่นับร้อยปี รวมไปถึงร้านค้าแบรนด์เนมหรูหราต่าง ๆ จาก The Bund หากมองข้ามแม่น้ำ Huangpu ไปเราจะเห็นฝั่งตะวันออกของแม่น้ำที่เรียกว่าฝั่งผู่ตงซึ่งจะเป็นที่ตั้งของตึกระฟ้า  หอไข่มุก  ที่เป็นหนึ่งใน Landmark ของเซี่ยงไฮ้แต่ถ้าเดินย้อนกลับไปตามถนนหนานจิง  จะเป็นย่านถนนคนเดินและย่านห้างสรรพสินค้าช้อปปิงที่สำคัญย่านหนึ่งของเซี่ยงไฮ้ บรรดาร้านค้าแบรนด์เนมหรูหรา ไม่ว่าจะเป็น กระเป๋า รองเท้า นาฬิกา ต่างมีช้อป ใหญ่โตที่เซี่ยงไฮ้หลายสาขา (ช้อปจริง ๆ ของแท้นะค่ะ ไม่ใช้ช้อปของก๊อปปี้) แต่ใช่ว่าที่นี่จะมีแต่ของตะวันตก ข้าง ๆ กันเราก็อาจจะพบร้านกระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า แม้กระทั้ง เชนฟาสท์ฟูดแบรนด์ท้องถิ่น ด้วยเหมือนกัน
         ในตอนบ่ายดิฉันเดินทางไป Yu Garden   ที่นี่คือสวนค่ะ แต่ว่าเป็นสวนที่ถูกจัดอันดับว่า เป็นสวนแบบจีนที่สร้างตรงตามหลักสถาปัตยกรรมและปราณีตที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศนี้ ค่าเข้าชมความงามของสวนนี้ก็มีราคา 40 หยวนภายในจะพบกับสถาปัตยกรรมจีนหลายหลังในสวน การจัดสวนด้วยบ่อน้ำและหินขนาดใหญ่และต้นไม้ชนิดต่าง ๆ ด้านหน้าของ Yuyuan จะมีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านน้ำช้า นับเป็นย่านช้อปปิงที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของเซี่ยงไฮ้ และหากใครหลายคนเคยได้ยินมาว่า เซี่ยงไฮ้ขึ้นชื่อเรื่องซาลาเปาไส้ซุป หรือที่เรียกว่า เสี่ยวหลงเปา อร่อยมากๆๆเลยทีเดียว ที่ด้านหน้า Yuyuan นี้ก็มีร้านเสี่ยวหลงเปาที่ดังขึ้นชื่อหลายร้านเช่นกัน    ในตอนค่ำ ดิฉันข้ามจากฝั่งตะวันตกของเซี่ยงไฮ้ที่เรียกว่า ผู่ซี ไปยังฝั่งผู่ตง หรือฝั่งตะวันออก เพราะว่าค่ำวันนี้ดิฉันจะขึ้นไปชมวิวบนตึกที่สูงที่สุดในเซี่ยงไฮ้ และบนจุดชมวิวที่สูงที่สุดในโลกในปัจจุบัน นั่นคือที่ตึก Shanghai World Financial Center ซึ่งเป็นอาคารที่ใช้ทั้งเป็น ห้างสรรพสินค้า สำนักงาน โรงแรม และจุดชมวิวตึกนี้มีความสูงถึงยอดตึก 487.4 เมตร และครองตำแหน่งตึกที่มีความสูงถึงยอดตึก (World's tallest building Rooftop) สูงที่สุดในโลกอยู่สองปี จนกระทั้งตึก เบิร์จ คาลิฟาในดูไบ แซงไปเมื่อปี 2553 สำหรับจุดชมวิวที่เปิดให้คนทั่วไปขึ้นไปได้นั้นมี 3 ระดับที่ชั้น 94 97 และ 100 ซึ่งจะสูงจากพื้น 423 439 และ 474 เมตร ตามลำดับ ค่าเข้าชมประเภทเข้าได้ทั้งสามชั้นราคา 150 หยวน โดยความพิเศษของชั้น 100 คือพื้นของจุดชมวิวบางช่วงจะเป็นกระจกใสทำให้มองเห็นพื้นด้านล่างในแนวดิ่งได้ด้วย  ที่สูงที่สุดตอนนี้ 
          วันรุ่งขึ้น ดิฉันเลือกออกเดินทางไปเที่ยวเมืองข้างเคียงของเซี่ยงไฮ้อย่างเมืองซูโจว เซี่ยงไฮ้มีเมืองใกล้ ๆ ที่น่าไปเที่ยวอีกหลายเมืองเช่นหังโจว ซูโจว โจวจวง อู๋ซี ฯลฯ ซึ่งสามารถเดินทางไปได้อย่างสะดวกโดยรถไฟ จริง ๆ แล้วเมืองเหล่านี้ก็ไม่ได้อยู่ใกล้เซี่ยงไฮ้นัก คือห่างไปราว 100-250 กม. แต่ด้วยระบบรถไฟของจีนที่ดีมาก รถไฟความเร็วสูงนั้นมีความเร็วสูงสุดถึงกว่า 200 กม. ต่อชั่วโมง ทำให้เดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ โดยใช้เวลาไม่นาน การเดินทางไปซูโจวจากเซี่ยงไฮ้ก็ใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นสถานที่ดิฉันไปชมที่ซูโจวนั้นไปชมเขาเนินเสือ  หรือภาษาจีนเรียกว่าหู่ชิว ซึ่งมีลักษณะคล้าย ๆ อุทยาน มีบ่อน้ำและสวน รวมไปถึงจุดเด่นคือเจดีย์ที่เอียงแต่ไม่ล้มเหมือนหอเอนเมืองปิซา นอกจากเขาเนินเสือแล้วสถานทีท่องเที่ยวของซูโจวยังมีอีกหลายแห่งเช่นบรรดาสวนต่าง ๆ ดิฉันเดินทางไปยังวัดพระหยก ซึ่งประดิษฐานพระหยกองค์หนึ่งที่มีความงดงาม กราบไหว้ขอพรเพื่อเป็นสิริมงคล ก่อนจะกลับกรุงเทพฯ เมืองเซี่ยงไฮ้เป็นเมืองสินค้าแบรนด์เนมเยอะมากๆๆๆเป็นเมืองที่สวยงามน่าอยู่


ขอบคุณสำหรับข้อมูลและภาพสวยๆค่ะ
http://www.prthaiairways.com
http://www.prthaiairways.com
http://www.thaimoderntravel.com


















วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เที่ยวเมืองซีอานและสุสาน


            


เมือง ซีอาน สุสานทหาร   นึกอยากนั่งเครื่องบินไปเที่ยวซีอาน ก็ตีตั๋วเครื่องบินแอร์ไชน่า  เที่ยวได้แบบตามอารมณ์เรา  เครื่องออกตอนเจ็ดโมงยี่สิบ ต้องเขี่ยขี้ตาลุกจากที่นอนไปสนาม     เมืองซีอานอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงปักกิ่ง เป็นเมืองหลวงของมณฑลส่านซี (คนละมณฑลกับซานซี) ใช้เวลาบินไปเกือบ 2 ชั่วโมง แต่ขากลับจะเร็วกว่ามาก  ชื่อเรียกซีอานในภาษาจีน Xi หมายถึง ทิศตะวันตก ส่วน An หมายถึง ความสงบสุข ในทางประวัติศาสตร์จีนนั้น เมืองซีอานเคยเป็นเมืองหลวงมาแล้วของ 13 ราชวงศ์จีน ชื่อเรียกเดิมก็คือ ฉางอาน
           เมืองซีอานไม่มีสนามบินเป็นของตัวเอง ต้องไปใช้สนามบินของเมืองเสียนหยาง ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของซีอาน ห่างจากซีอานร่วม 50-60 กม. ใช้เวลารถวิ่งร่วมชั่วโมง ตอนเดินทางกลับต้องเผื่อเวลาไว้ให้ดี จากปักกิ่งจะไปซีอานทางรถไฟตู้นอนก็ได้ แต่ส่วนใหญ่มักจะเต็มออกจากสนามบินได้ไม่ต้องพูดพร่ำให้เสียเวลากันแล้ว ขอที่จะตะลุยเที่ยวกันเลย สถานที่แรกที่ดิฉันตัดสินใจก็คือ สุสาน เรียกว่าพอไปถึงเมืองซีอาน ก็เข้าสุสานเลย แล้วก็ยังต้องตีตั๋วเข้าไปอีกด้วย ตั๋วผู้ใหญ่อยู่ที่ 45 หยวน (225 บาท) ส่วนตั๋วเด็กก็ 24 หยวน (120 บาท) เข้าไปถึงหันมองไปทางซ้ายก็เป็นทางยาวโล่ง มองไปทางขวาก็เป็นทางยาวโล่งอีกเหมือนกัน ที่เที่ยวเมืองจีนจะมีบ้างไหมที่ไปแล้วไม่ต้องเดินมากตัดสินใจเดินย้อนแสงไปทางซ้ายมือก่อนซึ่งน่าจะเป็นทิศตะวันออก มองไม่เห็นภูเขาก็น่าจะเป็นพื้นราบ ส่วนด้านขวามือเป็นภูเขาสูง ซึ่งก็คงจะเป็นทิศตะวันตก  ก็ควรจะเริ่มจากพื้นราบไปหาภูเขาสุสานนี้มีชื่อเรียกว่า
สุสานเฉียนหลิง  อยู่ในพื้นที่อำเภอเฉียนเสี้ยน เมืองเสียนหยาง ห่างจากซีอานไป ประมาณ 80 กม. ตั้งอยู่บนเนินเขาถังเฉียน ถ้าไม่เอารถขึ้นมา ก็ต้องเดินขึ้นบันไดมา 500 ขั้น มองตรงลงไปจากบันไดก็จะเห็นเป็นแนวถนนยาวไปสุดปลายฟ้าขึ้นมาแล้วก็จะเจอกับเสาแท่ง ๆ เรียกว่า เสาหินประดับ แต่ไม่รู้ว่ามีนัยสำคัญอะไรเกี่ยวกับสุสานหรือเปล่า ก็คงเรื่องอายุของเสาหินนี้ที่อยู่มายาวนานกว่า 1,300 ปีอยู่ใกล้ ๆ กันกับเสาเป็นม้ามีปีก ยุคสมัยนั้นจีนก็มีม้ามีปีกแล้วเหมือนกัน สุสานนี้เป็นต้นแบบของสุสานของราชวงศ์จีนโบราณ เริ่มลงมือก่อสร้างกันตั้งแต่เมื่อ พ.ศ.1226 ในสมัยราชวงศ์ถัง คนที่มาเลือกทำเลและสั่งให้ลงมือสร้างก็คือ อู่เจ๋อเทียน ฮ่องเต้หญิงพระองค์แรกและพระองค์เดียวของจีน ชื่อนี้อาจไม่ค่อยจะคุ้นกัน แต่ถ้าบอกว่าเป็นคนเดียวกันกับ บูเช็กเทียน ก็คงพอจะเคยได้ยินชื่อกันบ้าง สร้างสุสานนี้ขึ้นมาก็เพื่อใช้ฝังพระศพฮ่องเต้เกาจง พระสวามี แล้วเตรียมไว้สำหรับฝังพระศพของตัวเองด้วย ทางเดินกว้าง ๆ ยาว ๆ ที่เห็นไปสุดสายตาอยู่ที่เชิงเขานั้น บางคนก็เรียกว่า ทางศักดิ์สิทธิ์ แต่บางคนก็เรียกว่า ทางเดินผีสองฟากทางมีหินสลักรูปสัตว์และคนไปตลอดทาง   หินสลักรูปม้าบางตัวก็มีคนเลี้ยงอยู่ด้วย แต่บางตัวก็ไม่มี ที่ชวนให้สงสัยก็คือเหล่าคนเลี้ยงม้าพวกนี้ไม่มีหัว ไม่รู้ว่าคนสร้างทำให้เป็นแบบนี้เอง หินสลักรูปขุนนางจีนซึ่งเห็นอยู่ตามสุสานราชวงศ์จีนในที่ต่าง ๆ เป็นสัญญลักษณ์ของผู้พิทักษ์รักษาสุสานอู่เจ๋อเทียน ไม่ได้เป็นแค่จักรพรรดินีซึ่งหมายถึงอัครมเหสี แต่อู่เจ๋อเทียนมีฐานะเป็นฮ่องเต้ที่ปกครองแผ่นดินจีนจริง ๆ  แต่ถึงวันนี้หัวหายไปหมดแล้วสิงโตหินสองตัวซึ่งเฝ้าอยู่ตรงปากทางเข้าสุสาน ทั้งสองตัวเห็นร่องรอยการปะแต่ง การดามเหล็ก ซึ่งความเสียหายดูแล้วไม่น่าจะเกิดจากธรรมชาติหรือกาลเวลา แต่น่าจะเป็นฝีมือคนเรานี่แหละแท่นป้ายสีดำที่สร้างขึ้นในยุคสมัยหลัง เขียนข้อความอะไรไว้บ้างไม่รู้กับเขาหรอก เพราะอ่านหนังสือจีนไม่ออกสักตัว พูดก็ไม่เป็นสักคำ ภาษาอังกฤษก็ได้น้อยกว่างู ๆ ปลา ๆ แต่ถนัดลูกมั่วเอาตัวรอดมาได้ตลอด เวลาที่ไปต่างบ้านต่างเมืองสุดปลายทางเดินที่ปูลาดด้วยแผ่นกระเบื้องและอิฐ ไม่มีสิ่งก่อสร้างอะไรอีก รูปหินสลักก็ไม่มีให้เห็นอีกแล้ว ทางข้างหน้าเป็นทางดินเดินขึ้นเขาสูงชัน หลุมฝังศพของฮ่องเต้เกาจงและอู่เจ๋อเทียนอยู่ใต้ดินบนเขา อู่เจ๋อเทียนเป็นผู้เลือกเขาเหลียงซานที่มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลกว่า 1,000 เมตร แห่งนี้ ซึ่งมีลักษณะเป็นเขานางนอน (หงาย) ก่อนหน้านี้ก็ได้ยินว่ายังไม่รู้ว่าหลุมฝังศพอยู่ตรงไหน หลัง ๆ มา ก็มีข่าวว่าเจอทางเข้าแล้ว แต่ยังเข้าไปได้ไม่ลึกนักมีม้าให้บริการพาขี่ขึ้นไปเที่ยวตามจุดต่าง ๆ คิดค่าม้าแค่ 100 หยวน (500 บาท) แต่ยืนดูอยู่พักใหญ่ไม่ได้เห็นคนมาใช้บริการ ถ้าไม่กลัวตกเขาก็คงกลัวตกม้านั่นแหละบางคนเลือกใช้แค่บริการส่องกล้อง ได้ดูสภาพและบรรยากาศบนเขาก็พึงพอใจแล้วแต่หลายคนก็ตัดสินใจที่จะเดินเท้าขึ้นเขา ซึ่งต้องมีทั้งแรงทั้งเวลา เพราะหลายช่วงได้ยินว่าเป็นทางที่ค่อนข้างชัน ดิฉันถามคนที่ขึ้นไปแล้วกลับลงมาไม่ได้รับคำตอบในความหมายที่ประทับใจ เพราะขึ้นไปแล้วก็ไม่ได้ดูอะไร นอกจากได้ดูวิวจากที่สูงลงมาข้างล่างก้าวเท้าเดินหน้าไปบ้างแล้ว ดิฉันก็เลยเปลี่ยนใจเก็บแรงเก็บเวลาเอามาเดินดูของขายไม่ได้เสียเงินซื้อของ เพราะสินค้าที่เห็นเป็นแบบชวนดูสวย ๆ งาม ๆ มากกว่าที่จะหาซื้อมาเก็บไว้ให้เต็มบ้าน บริเวณรอบ ๆ สุสานก็เป็นหมู่บ้าน ชาวบ้านแถวนี้ก็ทำไร่ ทำนา แล้วก็ปลูกผลไม้ส่งโรงงานบ้าง เก็บเอามาขายเองบ้างตรงที่จอดรถกลายสภาพเป็นตลาดเล็ก ๆ ชาวบ้านขนเอาผลไม้มาขายให้นักท่องเที่ยว ไม่ต้องห่วงเรื่องความสดเพราะเพิ่งเก็บเอามาจากต้น แล้วก็ไม่ต้องห่วงเรื่องราคา ซื้อได้แบบที่ไม่อยากจะต่อราคาอีก ไม่เหมือนซื้อของอย่างอื่นที่มักจะโดนบอกโก่งราคาแบบสูงลิบลิ่วไว้ก่อนผลไม้ที่เอามาขาย ถ้าไม่นับลูกขายกัน ก็จะเอามาชั่งขาย แล้วก็ขายกันเป็นชั่ง ไม่ได้ชั่งเป็นกิโลขายแบบบ้านเราฟังราคาผลไม้คราวแรก ยังเข้าใจตัวเองว่าฟังผิด ก็ใครจะไปเชื่อ เกิดมาไม่เคยกินแอปเปิลแบบ 10 ลูก หยวนเดียว (5 บาท) แถมฝานส่งมาให้ชิมแบบไม่ห่วงขาดทุน สาลี่ขายแพงกว่าแอปเปิลนิดหน่อย หนึ่งหยวนซื้อได้ 6 ลูก ซึ่งก็ยังไม่ถึงลูกละหนึ่งบาทดีส่วนลูกพลับสด ๆ อย่างนี้ ขาย 3 ลูก แค่หยวนเดียวเหมือนกัน ลูกหนึ่งแค่บาทกว่า ๆ เอง สำหรับทับทิมลูกโต ๆ แดง ๆ อย่างนี้ เนื้อในทั้งแดงทั้งหวาน ตอนที่เอามีดผ่า น้ำทับทิมมาเปียกติดปลายนิ้วสีแดงเข้ม ยังนึกว่าโดนมีดบาด ขายอยู่ราคาสูงหน่อยคือ 2 ลูก 5 หยวน (25 บาท)คนทางซีอานนั้นชอบกินอาหารจำพวกแป้ง ไปที่ไหนก็มักจะได้เห็นอาหารจำพวกเกี๊ยวหลากหลายไส้ จำพวกเส้นหมี่หลากหลายหน้าตา แล้วก็แป้งอบเป็นแผ่นกลม ๆ รสชาติแห้ง ๆ จืด ๆ กินแล้วชวนฝืดคอ แต่ดิฉันก็ต้องกินค่ะเพราะไม่รู้ว่าจะกินอะไรต้องกินค่ะ เพราะดิฉันยังต้องตระเวนไปอีกหลายที่ 

ขอบคุณข้อมูลและภาพสวยๆๆๆ
www.wonderfulpackage.com   
http://www.taklong.com